ประวัติวัดสวนดอก

วัดสวนดอกสร้างในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ รัชการที่ ๖ แห่งราชวงศ์มังราย เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๑๔ พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระราชอุทยานสวนดอกไม้ของพระองค์ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของนครเชียงใหม่ ห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร สร้างเป็นพระอารามขึ้น และพระราชทานนามว่า “วัดบุปผาราม” ต่อมาชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “วัดสวนดอก” วัดนี้เป็นวันเก่าแก่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในสมัยอาณาจักรล้านนา วัดสวนดอกเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาลักธิลังกาวงศ์ เป็นที่สถิตของพระสังฆราชในอาณาจักรล้านนา เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย และนำมาบรรจุไว้ในพระบรมธาตุเจีย์ทีวัดสวนดอกแห่งนี้ ปัจจุบันวัดสวนดอกนับว่ามีความสำคัญต่อการส่งเสริมการศึกษาของคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นที่ตั้งของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นสถานที่ให้ความรู้และอบรมทางวิชาการเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่สวยงาม วัดนี้จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่

ที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันคือ วัดสวนดอกเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้าเก้าตื้อ พระพุทธปฏิมากรองค์ใหญ่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ประประณีตงดงามเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพลังแรงอธิษฐานอันบริสุทธิ์จิตของผู้สร้างคือ พระเจ้าสิริทรงธรรมจักรพรรดิราช หรือพระเมืองแก้ว มหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย รัชการที่ ๑๑ พระองค์ทรงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างพระพุทธรูปพระองค์นี้ให้เป็นศูนย์รวมแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของมหาชนทั่วโลก เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาสืบต่อไปให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ไว้ พระพุทธเจ้าเก้าตื้อประดิษฐานอยู่เหนือบัลลังก์พระอุโบสถวัดบุปผาราม หรือวัดสวนดอก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๕๒ (จ.ศ.๘๗๑) เป็นต้นมา พระองค์ให้แผ่เมตตาบารมีปกป้องคุ้มครองมหาชนทั้งหลายที่ได้เดินทางมานมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธามิได้ขาด พระพุทธเจ้าเก้าตื้อเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์และประณีตงดงามที่สุดในล้านนาไทย นับเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราเหล่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่มีสิ่งที่ควรเคารพบูชาอันทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ พระพุทธเจ้าเก้าตื้อเป็นที่รวมของความเลื่อมใสศรัทธา เป็นที่รวมของคุณธรรมความดี เป็นที่รวมของบุญกุศลทั้งหลาย เป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจให้กับทุกคนที่มากราบไหว้ พระองค์เปรียบเสมือนองค์สมเด็จพระบรมศาสดาอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประทับนั่งขัดสมาธิเหนือบัลลังก์พระอุโบสถวัดสวนดอกแห่งนี้มาเป็นเวลาเกือบจะ ๕๐๐ ปีแล้ว ด้วยความห่วงใยในปวงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังคงเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ สายพระเนตรที่ทอดตํ่าลงมา เต็มพร้อมไปด้วยพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ พระโอษฐ์แย้มยิ้มราวกับว่าพระองค์ทรงตรัสปลุกปลอบประโลมจิตใจของคนทุกข์ทั้งหลายได้ความเศร้าหมองเร่าร้อน กระวนกระวาย ห่างหายคลายจางไปจากจิตใจ ให้กลายเป็นความชุ่มเย็น เป็นที่สบายใจ สามารถมองเห็นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยสติ พระองค์ทรงตรัสเตือนทุกคนให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท พร้อมทั้งทรงประทานมรดกธรรมไว้ให้แก่พวกเราทุกคน คือการปฏิยัติสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นทางสายเอกแลบะสายเดียวที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ขอเพียบให้พวกเราทุกคนในใจและปฏิยัติตามที่พระองค์ทรงตรัสสอนไว้เท่านั้น ทุกคนก็จะได้พบและเห็นพระพุทธเจ้าเก้าตื้ออย่างแท้จริง (รศ.ติสรณี มีสมศัพย์,อุบาสิกาชีจันทสิริ ช่วยสงคราย. (๒๕๔๐). ประวัติพระพุทธเจ้าเก้าตื้อ. น. ๒๙-๓๑)

ขอขอบคุณ http://suandokkayom.blogspot.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .