กาลครั้งหนึ่งต้องไป…วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้าจะชม ช้อป ชิม ไร่มะขามหวานอันลือชื่อ หรือ ขนมจีนเส้นสด ไก่ย่างวิเชียรบุรี ก็ต้องมากันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ อยากสัมผัสอากาศหนาวจริงและหนาวจัด ทิวเขา ทะเลหมอก น้ำตก ทุ่งหญ้า ป่าไม้ ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ ประวัติศาสตร์การเมือง ศิลปวัฒนธรรม ศาสนสถาน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีพร้อม แถมไม่ต้องไปไกลมากมายด้วย เพราะจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในเขตคาบเกี่ยว คือเป็นภาคเหนือตอนล่าง หรือภาคกลางตอนบน ที่แวดล้อมไปด้วยพื้นที่ป่าเขาเขียวขจี มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงทิวทัศน์สวยงาม มีแม่น้ำป่าสักไหลผ่าน และอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 346 กิโลเมตรเท่านั้น

ฉบับนี้คู่หูพาเที่ยวขอพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งสถานที่ที่ ท่านต้องขีดเส้นใต้ไว้อย่างชัดๆ ว่า กาลครั้งหนึ่งต้องไป(ให้ได้)… วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ตั้งอยู่บนพื้นที่ 91 ไร่ บนถนนเส้นทางหลวงหมายเลข 12 พิษณุโลก-หล่มสัก บริเวณยอดเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” และได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 โดยมี พระครูปลัด ปารมี สุรยุทโธ เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า ผาซ่อนแก้ว

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม เงียบสงบ โดดเด่นด้วยความงดงามขององค์พระธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บน ยอดเจดีย์ ซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานให้แก่ทางวัด เมื่อปี พ.ศ.2543 และบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์จะใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน, ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป

ความงดงามขององค์พระธาตุเจดีย์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันไม่ขาด สาย รูปทรงขององค์พระธาตุสร้างเลียนแบบดอกบัวที่ซ้อนกัน 7 ชั้น เพื่อถวายแด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดับด้วยกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน ที่บรรจงแต่งแต้มไว้อย่างวิจิตรบรรจงเกินบรรยาย เป็นสถานศาสนสถานปฏิบัติธรรมที่มีสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ลักษณะแบบศิลปะตะวันออกประยุกต์ ด้วยแนวคิดของศิลปินผู้ออกแบบที่ตั้งใจจะให้เป็นทั้งชิ้นงานประติมากรรมกลาง แจ้ง และสถาปัตยกรรมทางศาสนาอันสวยงามโดดเด่นดึงดูดสายตาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติขุน เขาสวย บรรยากาศดี ที่จะให้เป็นจุดจดจำนำผู้คนมาเยือนเพชรบูรณ์ และในวันนี้สถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ จนกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกจุดหนึ่งขอการมาเยือนเพชรบูรณ์ไปแล้ว

ภายในวัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ เขตพุทธาวาส เปิด ให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้ากราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมเยี่ยมชมในบริเวณที่กำหนด ด้วยการสำรวมกาย วาจา ใจ เคารพต่อสถานที่ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00 – 17.00 น. และอีกส่วนคือ เขตสังฆาวาส ซึ่งได้แยกออกไว้ให้เป็นที่วิเวกสงบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงาม เป็นเขตที่อนุญาตให้เฉพาะพระสงฆ์และผู้ที่มาปฏิบัติธรรมเท่านั้น

เนื่องจากที่นี่เป็นเขตวัดและเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม การเข้าชมสถานที่จึงต้องปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม และให้เกียรติสถานที่ด้วย โดยสุภาพสตรีไม่ควรสวมกางเกงขาสั้น ไม่ส่งเสียงดังระหว่างเข้าชม ไม่สูบบุหรี่ในบริเวณวัด ฯลฯ

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใกล้เคียง

อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง วีระกษัตริย์ที่ชาวไทยทุกคน โดยเฉพาะชาวจังหวัดเพชรบูรณ์เคารพสักการะ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเกียรติคุณความดี วีรกรรมความกล้าหาญ และความเสียสละของท่าน ที่มีบทบาทสำคัญในการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวหรือพ่อ ขุนศรีอินทราทิตย์ ปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง แห่งอาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพ่อขุนผาเมือง (สี่แยกหล่มสัก) บ้านน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ห่างจากที่ว่าการอำเภอหล่มสัก ประมาณ 3 กิโลเมตร พระรูปทำด้วยโลหะ ประดิษฐานในอิริยาบทยืน พระหัตถ์ขวาทรงดาบปักดิน พระหัตถ์ซ้ายชี้ลงพื้น หากใครได้มีโอกาสผ่านไปทางนั้นควรแวะกราบสักการะท่านเพพื่อเป็นสิริมงคล

จากอนุสวรีย์ขับตรงไปในอำเภอเมือหล่มสัก เข้าซอยโรงพยาบาลหล่มสักไปไม่ไกลมานักทางด้านขวามือ เราขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านแวะรับประทานอาหารมื้อเช้ากันที่ “ร้านครัวน้าชุม” ร้านอาหารเรียบง่ายที่ได้รสชาติแบบเต็มสิบ อร่อยกับทุกเมนูที่คุณยายชุมเจ้าของร้านปรุงกันใหม่สดทุกวัน เป็นที่ติดอกติดใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในละแวกนี้เป็นจำนวนมาก หากอยากมาทานต้องอาศัยความไวกันสักหน่อย เพราะหากมาถึงร้านเกิน 10 โมงเช้าเป็นอันหมดอดอร่อยแน่ เพราะเปิดขายเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เกรี้ยงถาดแล้ว หากใครสนใจอยากแวะลองชิมก็โทรไปสอบถามเส้นทางกันได้ที่ คุณยายชุม โทร.08-348-5357 เปิดเวลา 06.00 – 10.00 น.

พระตำหนักเขาค้อ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเขาค้อ ดินแดนทางประวัติศาสตร์ทางการทหารของเมืองไทย ที่มีภูมิประเทศสวยงามเป็นที่ราบเชิงเขาและภูเขาสูงสลับสับซ้อนมากมาย มีอากาศเย็นและเต็มไปด้วยทะเลหมอกแทบทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาวมีลมพัดแรง พืชพรรณป่าไม้ ทิวทัศน์แนวเขาสวยงาม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” พระตำหนักเขาค้อ เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตั้งอยู่บนเขาย่า สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง1,100 เมตร จัดสร้างโดยบรรดาข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ภายหลังการต่อสู้กับผู้ก่อการคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลง ได้มีการรวบรวมทุนทรัพย์ ริเริ่มการก่อสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่แปรพระราชฐานประทับแรมทรงงาน เสด็จตรวจเยี่ยมโครงการตามพระราชดำริต่างๆ ในพื้นที่เขาค้อ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังให้กับประชาชนในแถบนั้น

นอกจากการเที่ยวชมพระตำหนักภายใน และสวนดอกไม้แล้ว ยังสามารถชมวิวมุมสูงได้จากบริวณจุดชมวิว ด้านข้างพระตำหนัก โดยการเดินเท้าขึ้นต่อไปอีกประมาณ 770 เมตร ด้านบนยอดเขาย่าจะมีฐานปฏิบัติการทางทหารเดิมที่ใช้ในการต่อสู้กับผู้ก่อการ คอมมิวนิสต์ เป็นจุดชมวิวที่มองได้โดยรอบแบบ 360 องศา

นอกจากนั้นยังมีบ้านพักทหารม้าบริการให้นักท่องเที่ยวเช่าพัก จำนวน 2 เรือนแถว มีลานกางเต้นท์ การขึ้นไปพักแรมต้องเตรียมเครื่องนอนไปให้พร้อม เนื่องจากบริเวณดังกล่าวตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นมาก การไปเที่ยวชมพระตำหนักเขาค้อ ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยเพราะเป็นเขตพระราชฐานที่ต้องให้ความเคารพ โดยเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 06.00-18.00 น. ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ หมายเลข 0-5672-2011, 0-5672-1934

พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่บนเขาค้อ ริมทางหลวงหมายเลข 2196 อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอเขาค้อไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนได้สักการะบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ใน ประเทศไทย

ภายในเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 ทิศ และมีพระพุทธรูปสำคัญของเมืองไทยอีกหลายองค์ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีความสูง 69 หลา เพื่อเป็นนิมิตหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมายุครบ 69 พรรษา ฐานเจดีย์กว้าง 39 หลา หมายถึงปีพุทธศักราช 2539 นับว่าเป็นองค์เจดีย์ขนาดใหญ่และมีความสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย

พิพิธภัณฑ์ อาวุธ เขาค้อ (ฐานอิทธิ) ตั้งอยู่บนเขาค้อ บ.สิมารักษ์ ม. 3 ต.ทุ่งเสมอ อ.เขาค้อ การเดินทางจากสี่แยกสะเดาะพง ไปตามทางหลวงหมายเลข 2196 ถึงสามแยกรื่นฤดี ให้เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขาไปประมาณ 3 กิโลเมตร พิพิธภัณฑ์จะอยู่ทางด้านขวามือ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งชื่อตาม พันเอก อิทธิ สิมารักษ์ ผู้ มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ยึดพื้นที่เขาค้อคืนจาก ผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ.2524 บริเวณนี้เคยเป็นฐานปืนใหญ่ยิงสนับสนุนการสู้รบ การมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้นอกจากทำได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศไทยแล้ว ฐานอิทธิยังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่งบนเขาค้ออีกด้วย ปัจจุบันได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธโดยการนำอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้สู้รบใน อดีตมาจัดแสดงไว้ให้ชมมากมาย เช่น เครื่องบินขับไล่ เอฟ 5 รถสายพานลำเลียงพล ปืนใหญ่ รถถัง รถแทรกเตอร์ บังเกอร์หลบภัย แต่ละจุดมีป้ายประวัติพร้อมคำอธิบายประกอบ เปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 07.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม 10 บาท

อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ ตั้ง อยู่บนยอดสูงสุดของเขาค้อ ห่างจากฐานอิทธิ ไป 1 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงาม มีลมพัดแรงมาก อากาศเย็นสบาย สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ทหาร ตำรวจ ผู้พลีชีพในการสู้รบ เพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2511-2525 โดยสร้างด้วยหินอ่อนเป็นรูปสามเหลี่ยม เพื่อสื่อถึงการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่าง ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ฐานกว้าง 11 เมตร หมายถึง เริ่มปฏิบัติการในปี 2511 ที่เริ่มมีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น สูงจากแท่นบูชาถึงยอด 24 เมตร หมายถึงปีที่เปิดยุทธการครั้งใหญ่ สูงรวมจากฐานถึงยอด 25 เมตร หมายถึง 2525 สิ้นสุดการต่อสู้ ภายในได้บันทึกประวัติอนุสรณ์สถานและรายชื่อวีรชนผู้เสียสละไว้ด้วย

พุทธอุทยานเพชบุระ เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะหล่อด้วยทองเหลืองบริสุทธิ์ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่บนถนนสายสระบุรี-หล่มสัก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ยอดพระเกตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดองค์พระฯ หน้าตัก 11.984 เมตร สูง 16.5899 เมตร สูงจากพื้นดิน 35เมตร หนักกว่า 45 ตัน ด้านล่างเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์เมืองเพชรบูรณ์ตั้งแต่ยุคก่อน ประวัติศาตร์ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน ด้านหลังมีสระน้ำขนาดให้พร้อมสะพานชมวิวทอดยาวออกไปยังกลางน้ำ พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปจำลองของ “พระพุทธมหาธรรมราชา” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ศิลปะสมัยลพบุรี ปัจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดไตรภูมิ ทุกปีในวันสารทไทย (ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10) จะอัญเชิญท่านมาลงสรงน้ำที่ท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร โดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนประกอบพิธี ซึ่งประเพณีนี้เรียกว่า “ประเพณีอุ้มพระดำน้ำ” นั่นเอง

การเดินทาง
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถึงจังหวัดสระบุรีเลยไปจนถึงสวนพฤกษศาสตร์พุแค ตรงกิโลเมตรที่ 125 แยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านอำเภอชัยบาดาล อำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี ขับต่อไปอีกประมาณ 221 กิโลเมตร ถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทางประมาณ 346 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ถึงอำเภอวังน้อยแล้วแยกเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 32 ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์แล้วใช้เส้นทาง หมายเลข 117 ตรงเข้าจังหวัดพิษณุโลก จากนั้นใช้ทางหมายเลข 12 เส้นพิษณุโลก-หล่มสัก ผ่านเขาค้อ-หล่มสัก เข้าจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทาง 547 กิโลเมตร
2. รถโดยสารประจำทาง
– บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถออกจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) ทุกวัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0 2936 2852–66 สาขาเพชรบูรณ์ โทร.0 5672 1581 หรือ Call Center โทร.1490 เรียก บขส.

ขอขอบคุณ http://lifestyle.th.msn.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .