สถานที่สำคัญภายในวัด–วัดสุทัศนเทพวราราม

wat-suthat-03

พระวิหารหลวง
พระวิหารหลวง จำลองมาจากวัดมงคลบพิตรที่กรุงศรีอยุธยา เป็นอาคารเครื่องก่อขนาด 5 ห้อง กว้าง 23.84 เมตร ยาว 26.25 เมตร โครงสร้างหลังคาเป็นจั่วมีหลังคาประธาน 1 ตับ มีชั้นซ้อน(หลังคามุข) ทางด้านหน้าและด้านหลังข้างละ 1 ชั้น และมีหลังคาปีกนกลาดลงจากหลังคาประธานข้างละ 3 ตับ หลังคามุขทางด้านหน้าและด้านหลังมีหลังคาปีกนกลาดลงข้างละ 2 ตับ มีเสารับมุขเป็นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง จำนวน 12 ต้น ทั้งสองด้านรวม 24 ต้น และเสานาง เรียงด้านข้าง ด้านละ 6 ต้น รวมทั้งหมดจึงเป็นเสา 36 ต้น เสานางเรียงและเสารับมุขหัวเสาเป็นปูนปั้น

บานประตูพระวิหารหลวงเป็นบานไม้แกะสลักลายลึกเป็นรูปพฤกษามีกิ่งก้านใบและดอกตระหวัดเกาะเกี่ยวอ่อนช้อยงดงามมีสัตว์เกาะเหนี่ยวเหมือนธรรมชาติ ลวดลายเหล่านี้เป็นฝีพระหัตถ์ของพระบามสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงกำหนดลักษณะลายแบบวิธีการแกะและเริ่มแกะด้วยพระองค์ก่อน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ช่างฝีมือแกะต่อเป็นบานประตูที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ น่าเสียดายที่ปัจจุบันโดนไฟไหม้บางส่วนและเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
รอบพระวิหารหลวงจะมีเจดีย์ศิลปะแบบจีนรายล้อมพระวิหารหลวง 28 องค์ เรียกว่า ถะรายพระวิหาร คำว่า “ถะ” เป็นเครื่องศิลาแบบจีนรูปแบบคล้ายอาคารหกเหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไป 6 ชั้น แต่ะลชั้นเป็นช่องโปร่งซึ่งเป็นลักษณะของเรือนไฟใช้ตามประทีป ถะรายพระวิหารมี 28 ถะ หมายถึงพุทธ 28 พระองค์ ตั้งอยู่บนพนักฐานพระวิหารชั้นที่ 2
ภายในพระวิหารหลวงมี “พระศรีศากยมุนี” ประดิษฐานเป็นพระประธาน หล่อด้วยสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 6.25 เมตร เดิมเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ สุโขทัย สร้างสมัยราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย อายุกว่า 600 ปี

ที่ด้านหลังบัลลังก์พระพุทธรูปมีแผ่นศิลาสลัก เป็นศิลปะแบบทวารวดี เป็นรูปสลักปิดทองปางยมกปาฏิหารย์และปางประทานเทศนาในสวรรค์ เป็นของเก่าและหาดูได้ยาก เข้าใจว่าจะมีอยู่เพียงชิ้นเดียวในโลก
นอกจากนี้ภายในพระวิหารหลวงยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุด แห่งหนึ่งในกรุงรัตนโกสินทร์ โครงสร้างส่วนต่างๆ ภายในมีภาพจิตรกรรมประดับอยู่โดยตลอดทุกส่วนจนไม่มีที่ว่าง และเป็นภาพที่น่าชมมาก เช่น ภาพเรื่องพระอดีตพุทธ 28 องค์ ภาพไตรภูมิโลกยสันฐานและภาพเรื่องพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าโปรดเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
พระวิหารคด (พระระเบียงคด)
สร้างล้อมพระวิหารหลวงทั้ง 4 ด้าน ความกว้าง 89.60 เมตร ความยาว 98.87 เมตร ระหว่างกลางพระระเบียงคดแต่ละด้าน มีประตูซุ้มจตุรมุข หน้าบันลำยองไม้แกะจำหลักลายปิดทองประดับกระจกสี เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ พื้นหลังเป็นลายกนกก้านออกช่อหางโต
บานประตูพระวิหารคด เป็นบานไม้ขนาดใหญ่ มีลายรดน้ำรูปเซี่ยวกาง (ทวารบาล) ยืนบนหลังกิเลน เชิงบานเป็นภาพสัตว์หิมพานต์ต่างๆ เช่น นรมฤค กินรี ราชสีห์ คชสีห์ นกหัสดี นกเทศ เหมราช ฯลฯ ภาพหลังบานประตูเป็นภาพเขียนสีน้ำมันรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์
บริเวณระเบียงคดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง 156 องค์ บริเวณมุมพระวิหารคดทั้ง 4 มุม ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ซึ่งจะต่างจากพระพุทธรูปที่ประดิษฐานเรียงรายอยู่ทั้ง 4 ด้าน ที่เป็นปางสมาธิราบทั้งหมด
เก๋งจีนหน้าพระวิหาร
เครื่องศิลาสลักจีนเก๋ง ประดับอยู่ที่ลานประทักษิณชั้นล่าง ด้านหน้า มีลักษณะเป็นปราสาทแบบจีน ตั้งอยู่บนตั่งขาสิงห์ ล้อมรอบด้วยตุ๊กตารูปสัตว์ ฉากหลังเป็นเขามอ
เขาพระสุเมรุและป่าหิมพานต์
ตั้งอยู่บนลานประทักษิณพระวิหารหลวงชั้นล่าง ด้านหลัง เป็นภูเขาที่สลักจากศิลาจีน มีรูปฤาษีและสัตว์ที่สลักศิลาประกอบอยู่โดยรอบ สมมุติเป็นเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์จักรวาล เขาลูกนี้เดิมเป็นฉากสำหรับแสดงโขนกลางแปลงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ถวายพระอารามแห่งนี้เพื่อเทียบให้เป็นคติแก่จักรวาลกับพระวิหารหลวง

พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 8
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ประดิษฐานไว้บริเวณลานประทักษิณ ชั้นล่างมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือพระวิหารหลวง พระบรมรูปหล่อด้วยสำริด ประทับยืน ขนาดเท่าพระองค์จริง
วัดสุทัศนเทพวรารามถือกันว่าเป็นพระอารามประจำรัชกาลที่ 8 เพราะทรงมีความเกี่ยวข้องกับวัด คือ เมื่อคราวเสด็จนิวัติพระนครครั้งแรก ได้เสด็จมาที่วัดนี้และทรงพระราชปรารภว่าสถานที่วัดสุทัศน์ฯ ร่มเย็นน่าอยู่ และเมื่อทรงประกอบพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สกลมหาสังฆปรินายก (แพ ติสสเทโว) ทรงเป็นพุทธมามกจารย์และถวายโอวาท
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าไว้ ณ ผ้าทิพย์ เบื้องหน้าฐานชุกชีพระศรีศากยมุนี (พระประธานในพระวิหารหลวง) และในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตจะจัดพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดสุทัศน์ นี้เป็นประจำทุกปี

พระอุโบสถ
พระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นอุโบสถที่มีขนาดใหญ่ยาวสวยงามที่สุดในประเทศไทย เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนแบบสถาปัตยกรรมไทย ขนาดกว้าง 22.60 เมตร ยาว 72.25 เมตร เป็นอาคารสูงใหญ่มาก มีเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รองรับหลังคาทั้งหมด 68 ต้น หลังคา 4 ชั้น และชั้นลด 3 ชั้น มีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ มุงกระเบื้องเคลือบสีเขียวเป็นพื้น คั่นกรอบด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง หน้าบันมุขหน้าและหลังเป็นไม้แกะสลักลาย ประดับกระจกสี มีประตูด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 2 ประตู รวม 4 ประตู หน้าต่างด้านข้างด้านละ 13 ช่อง รวมทั้งหมด 26 ช่อง
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธาน คือ “พระพุทธตรีโลกเชษฐ์” เป็นพระปางมารวิชัยที่หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 และถวายพระนามโดยรัชกาลที่ 4 เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 10 ศอก 8 นิ้ว ประดิษฐานบนฐานชุกชีสูง
เบื้องหน้าพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ประดิษฐานพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นแทนพระศรีศาสดาที่อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวรวิหาร สร้างด้วยปูนปั้นลงสีนั่งพนมมือเหมือนกำลังฟังพระบรมโอวาทจากพระพุทธองค์ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เฉพาะที่บานแผละของหน้าต่างพระอุโบสถวัดสุทัศน์ฯ ทั้ง 26 บาน เขียนภาพเกี่ยวกับวรรณคดีไทย รวม 13 เรื่อง ส่วนที่บานแผละของประตูทั้ง 4 บาน เขียนเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องราวที่เขียนเลือกเอาเฉพาะเหตุการณ์ตอนเด่นๆ ของแต่ละเรื่องมานำเสนอเรียงลำดับกันไปตาม ท้องเรื่อง เป็นผลงานของจิตรกรสมัยรัชกาลที่ 3 และส่วนใหญ่อยุ่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
รอบพระอุโบสถมีซุ้มเสมา 8 ซุ้ม ตั้งอยู่บนกำแพงแก้ว เป็นใบเสมาคู่ซึ่งทำจากหินอ่อนสีเทา สลักเป็นภาพช้าง 3 เศียร งวงชูดอกบัวตูมเศียรละ 1 ดอก เบื้องบนมีดอกบัวบาน 3 ดอก บนกำแพงแก้วด้านทิศเหนือและทิศใต้มีเกยอยู่ด้านละ 4 เกย ซึ่งใช้เป็นที่สำหรับประทับโปรยทานแก่ประชาชนในงานพระราชพิธี เรียกว่า “เกยโปรยทาน”
ศาลารายพระอุโบสถ
เป็นศาลาก่ออิฐถือปูนเตี้ยชั้นเดียวหลังคาจั่วทรงไทยมุงกระเบื้อง หน้าบันปูนปั้นลายดอกและเถาแบบจีนซุ้มประตูแบบจตุรมุขกั้นแนวเขตระหว่างเขตพุทธาวาสกับเขตสังฆวาส
ศาลาลอย
ศาลาลอยมีฐานหรือยกพื้นสูงอยู่ระดับเดียวกับกำแพง เรียงกันอยู่ตามแนวกำแพงด้านหน้า หรือด้านทิศเหนือทั้งหมด 4 หลัง รูปแบบทรงไทยผสมจีนและยุโรป ศาลาหลังริมที่อยู่ด้านตะวันออก เป็นศาลาเปลื้องเครื่องของพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่พระวิหาร ศาลาหลังที่ 2 ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่อง มีเกยสำหรับเทียบเสด็จเข้าด้านหน้า ซึ่งยังมีเกยสำหรับเทียบอยู่ สำหรับศาลาอีกสองหลังถัดไปนั้นคงเป็นสถานที่สำหรับประทับทอดพระเนตรพระราชพิธีโล้ชิงช้าของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยก่อน
ศาลาดิน
ศาลามีฐานหรือยกพื้นต่ำ เรียงตามแนวกำแพงวัดในเขตพุทธาวาส ด้านทิศตะวันออก ทั้งหมดมี 4 หลัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงไย หลังคาจั่วมุงกระเบื้อง หน้าบันปูนปั้นลายดอกไม้และเถาแบบจีนศาลาทั้ง 4 หลังนี้เดิมใช้เป็นที่จัดเตรียมเครื่องไทยธรรม ก่อนที่จะนำเข้าพิธีในบริเวณพระวิหารหลวงหรือพระอุโบสถ
ศาลาการเปรียญ
อยู่ในเขตสังฆาวาสของวัด สร้างในสมัยราชกาลที่ 3 เป็นอาคารทรงไทยที่สวยงามมาก ภายในเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธเสรฏฐมุนี” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้หล่อด้วยทองเหลืองของกลักฝิ่นที่จับรวบรวมมาได้เมื่อ พ.ศ. 2382
หอระฆัง
หอระฆังอยู่ในเขตสังฆาวาส บริเวณเดียวกันกับศาลาการเปรียญ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น รูปทรง 8 เหลี่ยม ช่วงมุมเหลี่ยมทำเป็นเสาแนบติดผนัง เจาะผนังเป็นช่องวงโค้ง หลังคาโดมคล้ายหมวกรูป 8 เหลี่ยม
สัตตมหาสถาน
สัตตมหาสถานในศาสนาพุทธ หมายถึง สถานที่สำคัญ 7 แห่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข หลังจากได้ทรงตรัสรู้ธรรมวิเศษแล้วเป็นเวลาแห่งละ 1 สัปดาห์
สัตตมหาสถานในวัดสุทัศนเทพวราราม หมายถึง สถานที่สำคัญ 7 แห่ง รัชกาลที่ 3โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองขึ้นแทนพระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บริเวณกำแพงวัดด้านทิศตะวันออกติดกับถนนอุณากรรณ เรียงเป็นแถวแนวทิศเหนือ ทิศใต้ ประกอบไปด้วย
ต้นโพธิ์ลังกา (สมมุติเป็นต้นมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้)
เก๋งจีน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตร (สมมุติเป็นอนินมิสเจดีย์ที่ประทับยืนทอดพระเนตรดูต้นมหาโพธิ์)
แผ่นศิลาปูนบนฐานสี่เหลี่ยมสูง (สมมุติเป็นที่รัตนจงกรมเจดีย์)
ศาลาศิลาทรงโรงแบบจีน (สมมุติเป็นเรือนแก้วหรือรัตนฆรเจดีย์)
ต้นไทรบนฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทับนั่งยกพระหัตถ์ขวาห้ามธิดาพญามาร (สมมุติเป็นต้นอชปาลนิโครธ)
ต้นจิกบนฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก (สมมุติต้นจิกเป็นต้นมุจลินท์)
ต้นเกดบนฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ประดิษฐานพระพุทธรูปปางรับผลสมอนั่งสมาธิ (ต้นเกดนี้มีคุณสมบัติเป็นต้นไม้ราชายตนะ)
ในสมัยรัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 บริเวณสัตตมหาสถานนี้ใช้เป็นที่สำหรับเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาและปัจจุบันพิธีเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาใช้บริเวณพระวิหารหลวงแทน

ขอขอบคุณ http://www.teeteawthai.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .