วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม)

ชื่อเดิมว่า วัดฉลอง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2360 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดไชยธาราราม วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยใด ม่ปรากฏหลักฐาน เดิมทีวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศเหนือของวัด ซึ่งมีหลักฐานปรากฏคือ พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อเจ้าวัด หรือพ่อท่านนอกนา การย้ายวัดมาตั้งในที่ปัจจุบันนั้นได้ย้ายมาในสมัยของพ่อท่านเฒ่า ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาของ หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) และได้เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. 2451 พ่อท่านช่วง (พระครูกิจจานุการ) ได้เป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. 2488 ต่อมา พ่อท่านเกลื้อม (พระครูครุกิจจานุการ) ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อมา จนถึง พ.ศ.2522 และเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ปัจจุบัน คือพ่อท่านหลิม

วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในสมัยพ่อท่านแช่ม ในคราวกบฏอั้งยี่ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2419 ชาวบ้านได้รับกำลังใจจากท่าน โดยการได้รับผ้าประเจียดให้โพกศีรษะคนละผืน จนสามารถสู้กับพวกอั้งยี่ได้และยอมแพ้ไปในที่สุด จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี ตำแหน่งสังฆปาโมกข์ มืองภูเก็ต และทรงพระราชทานนาม วัดฉลองเป็นวัดไชยธาราราม วัดฉลองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเพราะความเคารพศรัทธาในพ่อท่านแช่มและมักนิยมบนบานให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านเป็นพระที่มีคนมาติดทองที่ตัวท่านตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังรับรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับกระดูก เช่น กระดูกหัก กระดูกเคลื่อน โดยการต่อกระดูกจนเป็นที่เลื่องลือของชาวภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ส่วนไม้เท้าของท่านยังมีอานุภาพสามารถจี้ปาน ฝี ต่างๆ ทำให้อาการต่างๆ ไม่ลุกลามและหายไปในที่สุด ไม้เท้าของท่านยังได้ใช้รักษาผู้ป่วยจากทั่วสารทิศมาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2542 สมเด็จพระสังฆราชได้ประทาน พระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาตามคำกราบบังคมทูลขอของคุณอัญชลี วานิช เทพบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต เพื่ออัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดไชยธาราราม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระมหาธาตุเจดีย์ พระจอมไทยบารมีประกาศ ณ วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2545

ขอขอบคุณ http://www.phuketmeedee.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .