ศาลเจ้าปุดจ้อ

ศาลเจ้าปุดจ้อเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมืองภูเก็ต มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่าร้อยปี ตัวศาลเจ้าสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนซึ่งนิยมมากในมณฑลฮกเกี้ยน โดยการบูรณครั้งล่าสุดหรือแทบจะเป็นการสร้างใหม่เลยก็ว่าได้ก็เมื่อ พ.ศ. 2451 หรือราวร้อยปีที่แล้ว ดังนั้นผังของศาลเจ้าที่เราเห็นในปัจจุบันก็คือของที่สร้างเมื่อร้อยปีก่อน สวนประกอบต่างๆงทุกสิ่งทุกอย่างของอามปุดจ้อ นั้นยังคงเป็นเหมือนเดิมเหมือนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนก็รู้กันดี คือเมื่อ ศาลเจ้ากิวอ๋องที่ “อ่างอ่าหลาย”หรือ”ซอยรมณี” เกิดไฟไหม้ คณะกรรมการศาลเจ้าในสมัยนั้น ก็ได้นำขี้ธูปขิงกิวอ๋องเอี๋ยมาฝากไว้ที่อามปุดจ้ออยู่ระยะหนึ่งเพราะยังไม่มีที่ดินแน่นอนที่จะสร้างศาลเจ้าใหม่ เวลากินผักทีก็เชิญขี้ธูปออกมาจากอามปุดจ้อมาประกอบพิธีจนเจ้าของที่สวนพลูยกที่ดินให้ จึงได้เอาขี้ธูปศักด์สิทธ์มาประดิษฐานที่ศาลเจ้าหลังใหม่เป็นการถาวรจนกระทั่งปัจจุบันเห็นมั้ยหล่ะว่าอามปุดจ้อของเรานั้นมีประวัติยาวนานแค่ไหน หลังจากนั้นอามปุดจ้อก็ได้ดำรงความเป็นศาลเจ้าฮกเกี้ยนโบราณจนกระทั่ง พ.ศ. 2536 ได้มีการบูรณะอาดปุดจ้อครั้งใหญ่จนเป็นที่น่าเสียดายว่าโบราณสถานที่เก่าแก่ของเรากำลังจะถูกทำลายศิลปกรรมที่เต็มไปด้วยประวัติความเป็นมาที่ยาวนานด้วยน้ำมือของคนภูเก็ตเอง ที่ได้เปลี่ยนรูปทรงของศาลเจ้าปุดจ้อที่ช่างจีนโบราณได้ฝากฝีมือเอาไว้จนกลายเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน จนไม่มีเค้าความเป็นศาลเจ้าโบราณเหมือนเก่า(ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ที่เขาจะอนุรักษ์โบราณสถานของเขาให้เหมือนเดิมมากที่สุดเพื่อแสดงถึงความเก่าแก่ของท้องถิ่นนั้นๆ)จึงขอสรุปความเปลี่ยนแปลงที่ดูแล้วน่าใจหายไว้ดังนี้
1.หลังคาเดิมเป็นเครื่องไม้ทั้งหมดโดยการออกแบบของช่างจีนทั้งหมด หลังคามุงด้วยกระเบื้องกาบูแบบจีนซ้อนกันถี่ยิบโดยการรองรับของคานไม้แบบจีนด่านล่างโดยใช่ไม้เป็นซี่ๆรองรับเป็นร้อยอัน ถ้าเรามองเงยหน้าขึ้นไปเราจะเห็นถึงระบบการเข้าไม้และการรับน้ำหนักของหลังคาของช่างจีนโบราณ ปัจจุบันไม่มีให้เห็นอีกแล้วโดยเปลี่ยนเป็นหล่อคอนกรีตเลียนแบบของเก่าแต่ก็ดูไม่เนียนเหมือนเดิมแล้ว

2.หลังคาตอนหน้าของเดิมไม่มีเชิดดังที่เห็นในปัจจุบัน เพราะช่างโบราณเขาออกแบบเสารับชายคายื่นออกมาให้เข้ากับขนาดของหลังคาไว้ดีแล้วแต่ปัจจุบันก็มีการเพิ่มส่วนหน้าของหลังคาออกมาจนผิดแบบเดิมไปอย่างมาก ทั้งส่วนที่ต่ออกมายังดูเป้รอยต่อไม่เนียนเข้ากับของเก่า

3.อาคารประกอบที่ติดกับอาคารประธาน เดิมแบบฮกเกี้ยนแท้คือมีสันหลังคาโค้งอ่อนๆ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นก่อทับสันหลังคาเดิมด้วนปูนซีเมน ส่วนบนปั้นเป็นหางปลา หน้าบันก่อเป็นลายปูนปั้นหนาๆคล้ายลายก้านขดแบบฝรั่งซึ่งเป็นของใหม่ทั้งสิ้น ทั้งส่วนล่างก็มีการโบกปูนทับส่วนที่เป็นหน้าต่างลายปล้องไม่ไผ่กลายเป็นช่องของน้ำตกที่เพิ่งปั้นมาใหม่ในปี 51 นี้ แถมยังมีการนำเอาปลามาเลี้ยงดูแล้วน่าสงสาร ปุดจ้อคงไม่พอใจนักที่เราเอาปลามาขังไว้ในที่แคบๆแบบนี้

4.หน้าต่างอาคารประธานเดิมด้านบนเป็นลายเครือเถาแบบจีนทาสีสดใสด้านล่างเป็นภาพวาดแบบจีนทาสีสดใสเช่นเดียวกัน ปัจจุบันก็เปลี่ยนเป็นทั้งด้านบนด้านล่างเป็นลายเดียวกันส่วนแผ่นไม้ที่มีรูปวาดที่ว่าไม่รู้ตอนนี้อยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร จากการที่ทาสีสดใสก็เปลี่ยนเป็นทาสีทองและแดงเพียงอย่างเดียวดูไม่ขลังเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอามปุดจ้อและมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงอีกในไม่ช้า หากเราไม่เห็นถึงความสำคัญของความเป็นหลักฐานของเมือง
ในปัจจุบันแต่ละท้องถิ่นพยายามรักษาโบราณสถานประจำท้องถิ่นของตนไว้ให้มีความเหมือนเดิมมากที่สุดเพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ หากเราจะพูดว่าเรามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานโดยปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือมายืนยัน ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อ และต่อไปเรื่องของเราก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไปที่เราต้องการจะให้เขารับรู้ ยกตัวอย่าตอนนี้ที่จังหวัดตรัง เขามีประเพณีกินผักที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานไม่แพ้ประวัติของที่ภูเก็ต และข้อมูลของเขาก็น่าเชื่อถือเพราะเขามีหลักฐานยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้โกหก แต่งเรื่องเพราะสถานที่ที่เขากล่าวถึงล้วนมีจริงละยังคงความเก่าแก่จนถึงปัจจุบัน เช่นที่ศาลเจ้ากิวอ๋องเอี๋ย ถ้าไครไม่เชื่อว่าที่ตรังเขากินผักมายาวนานก็ให้ลองไปดูที่ ศาลเจ้ากิวอ๋องเอี๋ย เราก็จะเห็นว่าศาลเจ้าของเขายังเป็นเหมือนเดิมเหมือนเมื่อร้อยปีก่อน หลังคาก็ยังคงมุงกระเบื้องกาบูเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงหรือจะเปลี่ยนแปลงก็คงน้อยมาก หลักฐานที่แน่นหนาขนาดนี้ถ้าเขาจะพูดว่าการกินผักของเขาเก่าแก่ก็คงไม่มีไครที่จะปฏิเสธได้อย่างแน่นอน แต่พอมาดูประวัติของเราก็ยาวนานเช่นเดียวกัน แต่โบราณสถานที่จะมายืนยันกลับมีเพียงน้อยนิดอะไรๆ ก็ดุเป็นของใหม่เกือบทั้งสิ้น เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเรานั่นเอง เวลาเราเล่าเรื่องอะไรให้คนต่างถิ่นฟังเมื่อเขาต้องการดูหลักฐานเราก็หาให้เขาดูไม่ได้เราเพราะเราทำลาย และเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว นี่แหละจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะตระหนักไว้ว่าถ้าเราไม่อนุรักษ์โบราณสถานต่างๆ ให้เป็นโบราณสถานไว้ได้เราก็จะไม่มีหลักฐานที่จะแสดงถึงประวัติศาสตร์ความหลังที่ยาวนานของเราได้ จึงขอให้พี่น้องทุกท่านได้เห็นถึงความสำคัญก่อนเรื่องนี้ก่อนที่คนต่างถิ่นจะมาดูถูกเราได้ว่าเราเป็นคนขี้โม้ได้

ขอขอบคุณ http://www.trangzone.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .