วัดพระธาตุหริภุญชัย–สมัยพระพุทธกาล

พระดำรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า

ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาบิณฑบาตยังชัยภูมิแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวเม็ง หรือ มอญ เมื่อรับบิณฑบาตแล้ว ก็ได้เสด็จ เลียบฝั่งแม่น้ำระมิงค์ขึ้นมาทางทิศเหนือจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งพระพุทธเจ้าจึงทรงหยุดพัก ประทับอยู่บนหินก้อนหนึ่ง และทรงวางบาตรไว้ด้านข้าง ขณะนั้นมี พญาชมพูนาคราชและพญากาเผือก ได้มาปรนนิบัติและอุปฐากพระพุทธองค์อย่างใกล้ชิด และได้มีชาวลั๊วะผู้หนึ่งได้นำเอาลูกสมอมาถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ได้เสวยลูกสมอนั้นแล้ว จึงทรงทิ้งขว้างเมล็ดลูกสมอเหล่านั้นลงบนพื้นดินพร้อมกับตรัสพยากรณ์ไว้ว่า “ สถานที่แห่งนี้ต่อไปภาคหน้า หลังจากเราตถาคตได้นิพพานไปแล้ว จะเป็นที่ตั้งของหริภุญชัยนคร และยังจะเป็นที่ประดิษฐานของพระสุวรรณเจดีย์อีกด้วย”
พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า

เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จ ดับขันธ์นิพพานไปได้ 218 ปี พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้พบพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่เมืองราชคฤห์ จึงเกิดศรัทธาเลื่อมใสอยากจะสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเหล่านั้นให้ได้ 84,000 แห่ง จึงมอบให้พระเถระทั้งหลายอัญเชิญพระบรมธาตุไปบรรจุในเจดีย์ยังเมืองต่าง ๆ ทั่วแคว้นชมพูทวีป สันนิษฐานว่าประเทศไทยเราก็คงได้รับส่วนแบ่งพระบรมธาตุในครั้งนั้นด้วยและตำนานท้องถิ่นบางแห่งยังบอกว่า พระกุมาระกัสสะปะเถระ และ พระเมฆิยะเถระ เป็นผู้อัญเชิญพระบรมธาตุจากพระยาศรีธรรมาโศกราช มาไว้ที่ลัมภะกัปปะนคร และหริภุญชัยนคร

*** ซี่งในกาลต่อมาพระเจ้าอาทิตยราชได้มาบูรณะพระธาตุหริภุญชัย และ พระเจ้าจันทะเทวะราช มาบูรณะพระธาตุลัมภะกัปปะนคร ปัจจุบันคือวัดพระธาตุลำปางหลวง
พระบรมธาตุคืออะไร

คำว่าพระบรมธาตุนั้นหมายถึง พระอัฐิที่ผุกร่อนหรือเถ้าถ่านของพระพุทธเจ้าซึ่งรวมตัวติดแน่นเป็นก้อนแข็งราวกับแร่ธาตุชนิดหนึ่งแล้วก็ตกผลึกมีแสงแวววาวระยิบระยับประหนึ่งก้อนหยกถูกเจียรไนเรียบร้อยแล้ว ขนาดสัณฐานของพระบรมธาตุ มีลักษณะกลมเล็กสะท้อนแสง ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว พระบรมธาตุที่แท้จริงและสำแดงนิมิตปาฎิหารย์ได้ โดยทั่วไปจะมีสีแสงโชติช่วงในเวลากลางคืนและมีพลังอำนาจในตัวของมันเอง จะสามารถแยกธาตุ – รวมธาตุและสลายธาตุลอยหายไปได้ โดยพลังอำนาจฉับพลันของมันเองราวกับปาฎิหารย์ ชาวพุทธนิยมเก็บรักษาพระบรมธาตุไว้ในเจดีย์ หรือไม่ก็ขุดฝังไว้ใต้องค์พระเจดีย์ เพื่อป้องกันการถูกโจรกรรม ทั้งยังเป็นการสร้างสถานที่สำคัญไว้เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชน ดังจะพบพระธาตุหรือพระเจดีย์จำนวนมากมาย ในแต่ละภาคของประเทศไทย

หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วจะมี พระบรมสารีริกธาตุเป็นต้นว่า ธาตุกระหม่อม ธาตุดูกอก ธาตุดูกนิ้วมือและธาตุย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง มาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ด้วย หลังจากทรงมีพุทธพยากรณ์แล้ว พระอรหันต์ พระยาอโศกชมพูนาคราชและพระยากาเผือกจึงพร้อมกันกราบบังคมทูลขอ พระเกศธาตุ จากพระพุทธองค์ๆ ทรงใช้พระหัตถ์ เบื้องขวาลูบพระเศียรประทานให้เส้นหนึ่งพระอรหันต์และพระยาทั้งสามได้นำเอาพระเกศธาตุ บรรจุไว้ในกระบอกไม้รวกแล้ว นำไปบรรจุ ในโกศแก้วใหญ่ ๓ กำนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำใต้ที่ประทับนั้น พระพุทธองค์พร้อมด้วย พระอรหันต์ทั้งหลายจึงเสด็จกลับพาราณสี ส่วนหินที่พระพุทธองค์ประทับนั้นก็จมลงไปในแผ่นดินดังเดิมโดยชมพูนาคราชและ พระยากาเผือกได้ทำหน้าที่เฝ้าพระเกศธาตุนั้น

ขอขอบคุณ http://www.hariphunchaitemple.org

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .