เมื่อเข้ามาถึงที่วัดแล้ว ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อชำระค่าเข้าชมถ้ำคนละ 50บาท ค่าไกด์
นำเที่ยว 30 บาท ซึ่งเป็นไกด์เด็กชาวบ้านในชุมชนที่มาหารายได้พิเศษ ไอเย็นจากในถ้ำแผ่
ออก มาถึงข้างนอก เชื้อเชิญให้อยากรีบเข้าไปข้างในเร็วๆ ภายในถ้ำใหญ่โตแห่งนี้แบ่ง
ย่อยเป็น 3ถ้ำ คือ ถ้ำพระพุทธรังสี ถ้ำธรรมรังษี และถ้ำสังฆรังสี (นี่เองเป็นที่มาของชื่อ
วัดถ้ำไตรรัตน์)
เดินเข้ามาโซนแรกจะเป็น ถ้ำสังฆรังสีหรือถ้ำแก้วสารพัดนึก เป็นห้องโถงกว้าง เมื่อขึ้น
บันไดไปก็จะพบกับนางตะเคียนแกะจากไม้คอยต้อนรับอยู่ซ้ายและขวา ต่อมาพบกับ
พระพุทธรูปศิลาแลงเก่าแก่ประดิษฐานคู่กับพระเจดีย์ทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ที่อัญเชิญมาจากอินเดียและศรีลังกา ไกด์เด็กก็บอกให้เราอธิษฐานขอพรได้ 3ข้อ แล้ว
วนลงบันไดอีกทางหนึ่ง
ถัดไปทางซ้ายมือ เดินลงไปไม่กี่ก้าวก็ถึง ถ้ำเพชร ทางลงเป็นซอกหินแคบๆ ลาดชันลด
หลั่นลงมา ไกด์จะส่องไฟฉายไปที่ผนังถ้ำให้เห็นหินงอกหินย้อยเป็นเกล็ดเพชรแต่ไม่ใช่
เพชร ไกด์บอกให้เราลูบเกร็ดเพชรใส่ลงในกระเป๋าถือได้ เชื่อว่าจะทำให้มีทรัพย์สมบัติ
มากมาย
ต่อมาถึง บ่อมังกรบิน หินที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนมังกรที่มีปีก มีลูกตาสีน้ำเงินก็คือ
มรกต ที่ทางวัดได้นำไปฝังไว้ จึงทำให้เหมือนมีลูกตาทั้งสองข้าง
และบริเวณนี้ยังมี หินศิวลึง อยู่สองแท่งให้ชม ซึ่งได้ผ่านการลูบคลำมาอย่างมากมาย
จนเป็นมันเงาเชื่อว่าลูบคลำแล้วจะค้าขายร่ำรวย
ใกล้กันนั้นมี หินคู่ตายาย เป็นหินที่งอกขึ้นมาคู่กัน ลักษณะยาวรีปลายมนเงามัน
ไกด์บอกว่า จับและลูบคลำแล้ว อายุมั่นขวัญยืน
เดินไต่ลงถ้ำไประหว่างทางจะเจอหินหน้าตาแปลกประหลาดอีกเยอะ เช่นหินหัวช้าง
ซึ่งเราจะเห็นเป็นหัว ตา ใบหู งวง ได้อย่าง ชัดเจน หินจระเข้ (กำลังอ้าปาก) หินหอย
สังข์ และ หินปลาทอง (รูปร่างเหมือนปลาทองกำลังว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำ) ปลาทองที่
เห็นสีแดงสดกรีดกรายครีบอย่างสวยงามอันนี้ ธรรมชาติไม่ได้สรรค์สร้าง แต่มนุษย์
นี่แหละเข้ามาสร้างสรรค์(ทางวัดให้เด็กนักเรียนระบายสี)
จากจุดที่แหงนคอมองหินปลาทอง ด้านหลังจะมีอุโมงค์เล็กๆ เป็น บ่อพญานาค
ปกติจะ มีน้ำผุดขึ้นมาจากใต้ถ้ำจนเต็มบ่อ ซึ่งน้ำจะขึ้นเต็มพอดีในวันขึ้น 15 ค่ำ
ไกด์บอกว่า เหตุที่ชื่อบ่อพญานาค เพราะในอดีตมีงูจงอาง ขนาดใหญ่ มาขดตัว
เล่นน้ำในบ่อนี้เป็นประจำ
ออกจากบริเวณถ้ำแก้วสารพัดนึก ก็มาลอดผ่านอุโมงค์ เชื่อมต่อมาที่ ถ้ำพระ
พุทธรังสี อุโมงค์นี้ต้องก้มโค้งตัวต่ำมาก ถึงจะลอดได้ เรียกว่าจะผ่านได้เฉพาะคน
ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ใครหัวสูงก็ยืนติดแหง่ก อยู่ที่ถ้ำโน้น ลอดผ่านเข้ามาจะเจอ
เหล็กไหล มองจากภายนอกจะเห็นเป็นเพียงแท่ง หินงอกหินย้อย มีคนวางสตางค์ไว้
ที่โคนด้วยเชื่อว่า จะทำให้เงินทองไหลมาเทมา
ไกด์บอกว่าทุกห้าปีจะมีพระมาทำพิธีตัดเหล็กไหลและหลวงพ่อคูณก็เคยมาทำพิธี
ณ ที่ตรงนี้โดยนั่งทำพิธีพลี อยู่ถึงสามสิบวัน จึงจะตัดได้สำเร็จ
พวกเราจึงพูดกันเล่นๆ ถามไกด์ว่า “จะขอตัดบ้างได้มั้ย”
“ยากเพราะเครื่องมือที่จะทำพิธีตัดนั้นอยู่ที่กุฏิเจ้าอาวาส” ไกด์ตอบ
พวกเราจึงพูดเสริมอีกว่า “ใข้คาถาตัดได้มั้ย มีคาถานะ”
“ถ้าจะยากเพราะว่าต้องรอให้ครบห้าปีก่อน เหล็กไหลถึงจะออกมาตอนนี้เหลืออีก
สองปีถึงจะครบกำหนด และต้องใช้เส้นผมของสาวพรหมจรรย์ตัดเท่านั้น” ไกด์ตอบ
พวกเราจึงได้พูดกันในกลุ่มว่า “ไกด์คงเห็นแล้วว่าสาวๆในหมู่พวกเราที่ไปนั้นคงไม่มี
ใครอายุต่ำกว่าสามสิบปีเป็นแน่! จึงได้ตอบมาแบบนี้
ออกจากบริเวณนั้น ก็มาถึงหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งมีหินขนาดเขื่อง วางอยู่ด้าน
หน้าไกด์บอกว่าให้หยิบหินก้อนนั้นใส่กระเป๋ากางเกงทีละคน พร้อมกับอธิษฐานเสร็จ
แล้วนำออกวางที่เดิมเชื่อว่า ทำให้เงินทองไม่ขาดกกระเป๋า ซึ่งตรงนี้อาจารย์ชาได้รอ
อยู่ทางท้ายแถวและได้หายไป นิดได้เดินกลับตามไปดู เห็นอาจารย์กำลังใช้ลูกแก้วสี
เหลืองเคาะตรงหินย้อยที่มีเหล็กไหล เคาะอยู่ถึงสามครั้ง ครั้งที่สามไม่ถึงสิบห้าวินาที
จึงตัดออกมาได้สำเร็จ
เมื่อหยิบขึ้นมามีขนาดใหญ่เท่าข้อมือได้ เมื่อใส่กระเป๋ากางเกงแล้วปรากฏว่ากระเป๋า
ตุงมากก็เลยหยิบออกมาแล้วใช้ฤทธิ์ย่อส่วนให้ขนาดเล็กลงเหลือแค่หัวแม่มือจึงนำใส่
กระเป๋ากางเกงและเดินกลับไปรวมกลุ่มโดยที่ไกด์ไม่ทันเห็น
ต่อมา เดินมาถึงจุดที่มีเบาะที่นั่งวิปัสสนาของหลวงพ่อเพิ่ม (อดีตเจ้าอาวาสวัด
ถ้ำไตรรัตน์) บริเวณนี้ หลวงพ่อเพิ่มเป็นผู้ค้นพบและเคยเจอพญางูจงอาง อ้าปาก
ห้อยหัวลงมาทดสอบ ให้ท่านไม่มีสมาธิ ท่านได้นั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่ เบาะนี้
จนกระทั่งพญางูสงบและจากไป
ใกล้กับที่ นั่งวิปัสสนาของหลวงพ่อจึงได้มี “รูปปั้นงูจำลอง”พร้อมประวัติ และมีโพรง
ถ้ำเล็กๆ ภายในมีไข่งูจำลอง 3 ฟอง ไกด์บอกว่าอนุญาตให้จับได้เฉพาะคนเกิดปีมะโรง
,มะเส็ง เท่านั้น ในที่นี้ใครเกิดปีนี้บ้าง ก็มีอาจารย์ชาซึ่งเกิดปีมะโรงเข้าไปดูและจับไข่นั้น
ต่อไปเดินถึงผาขั้วโลกเหนือ มี แท่นอัฐพระฤๅษี 4000 ปี เป็น โครงกระดูกทั้งร่างกาย
ของพระฤาษีที่เคลือบเรซิ่นไว้แล้วอย่างดี ฤาษีองค์นั้นมีนามว่าอัสกะดาบส(ฤาษีตาไฟ)
วางนอนอยู่ในแท่นหลุม พร้อมด้วยโครงกระดูกของมนุษย์ ต่างๆ ที่เคยใช้ชีวิตในถ้ำแห่งนี้
ไกด์บอกว่า อธิษฐานแล้วลูบลงไปที่โครงกระดูกลูบตรงส่วนไหนของร่างกายฤๅษี เชื่อว่า
จะหายจากโรคภัยบริเวณส่วนที่ลูบนั้น
ถัดไปจากแท่นวางกระดูกทางซ้ายมือ มีโพรงยกสูงจากพื้นพอสมควร ขนาดพอดีตัว เป็น
มุมที่นอนพระฤาษี มีลักษณะเป็นแผ่นหินเรียบ ลาดลง มีเสื่อปูไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปนอน
ได้และให้ ท่องนะโม 3 จบ อธิษฐานขอพรแล้วขึ้นไปนอนหงายพนมมือบนแท่นหินนั้น ขึ้นได้
ทั้งหญิงและชาย พวกเราจึงได้ขึ้นไปนอนและอธิษฐานขอพรกัน
ต่อมาเดินมาชม รังต่อหินล้านปี ลักษณะจะเป็นโพรงหิน มองลอดเข้าไปในโพรงจะเป็น
รังต่อแหงนหน้ามองขึ้นไปข้างบน จะเห็นปล่องธรรมชาติเป็นที่ลอดของลำแสง มุมนี้
เป็นที่ถ่ายละครหลายเรื่องอย่าง พิภพมัจจุราช เหล็กไหล อังกอร์ ฯลฯ มักใช้เป็นฉาก
ให้นักแสดงโรยตัวลงมาจากที่สูงเป็นมุมที่สวยจริงๆ
จุดต่อไปเป็นป่าหินงาม มีหิน โขลงช้าง ตัวน้อยใหญ่จัดวางเรียงรายอยู่ 1 โขลง หินอีก
ก้อนที่เด่นไม่แพ้กันคือหิน หมา จิ้งจอก 3 ตัว แม่ลูกนั่งหันหลังเรียงกันน่ารักดี ใครเห็น
เป็นอย่างอื่นก็ตามแต่จินตนาการ และถัด ไปคือ ประตูมังกร ปากทางเดินลงถ้ำเป็น
เหมือนซุ้มปากมังกร เริ่มจากเขี้ยวมังกร แล้วไล่ไปที่ส่วนหัว ลำตัว และ หาง ตามลำดับ
พวกเรา ได้ลอดเพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมด้วยการลูบไข่มังกร ที่ทำจาก หินกลมมี
ถึง 4 ลูก หลวงพ่อเพิ่มเป็นผู้ปลุกเสก เชื่อว่ามีอานุภาพให้แคล้วคลาดจากภยันตราย
และ เดินทางปลอดภัย
ต่อไปเป็นโซนสุดท้ายของถ้ำพระพุทธ เราไปสักการะพระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่
บนแท่นหินรูปดอกบัวหัวใจของพระพุทธศาสนาหน้าเสาที่ถูกวาดตกแต่งไว้เป็นรูปกลีบ
ดอกบัวแลดูสวยงามมาก
เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลาเดินเที่ยวอยู่ใน ถ้ำนี้โดยประมาณ 1 ชั่วโมง เต็ม
เมื่อออกมาจากถ้ำกันแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้ถามอาจารย์ชาว่าตกลงถ้ำนี้เกี่ยวพันอะไร
กับผมหรือเปล่าครับ?
“เขาสื่อเพื่อให้เข้ามาเอาเหล็กไหล เพียงเท่านี่แหละ” อาจารย์ชากล่าว
ผู้เขียนถามว่า ให้ใครและใครเป็นคนให้หรือครับ?
“ก็ฤาษีองค์นั้นไงที่อยู่ในถ้ำเค้าบอกกับอาจารย์ว่าให้ผู้เขียน” อาจารย์ชาตอบ
อาจารย์จึงตัดมาให้เลย ขี้เกียจมาอีก เพราะไม่รู้ว่าเมื่ิอไหร่จะมีเวลาได้มาอีก
เอ้ารับไป
ผู้เขียนจึงถามต่อว่า “เหล็กไหลชนิดนี้ดีทางไหนครับ”
เป็นเหล็กไหลบารมี เพื่อมาเสริมบารมีให้กับเราแต่ตอนนี้ยังอยู่ในรังซึ่งมีลักษณะคล้าย
หมวกหรือชฏาของฤาษีมีสีขาวขุ่นเป็นแบบหินงอกหินย้อย
อาจารย์ชากล่าวว่า”เมื่อถึงฤกษ์งามยามดีแล้วเหล็กไหลจะออกมาจากรังเอง”
ขอขอบคุณ http://dhammarakkoe.blogspot.com/