วัดหงษ์ทอง

paragraph_11_501

วัดหงษ์ทอง ตั้งอยู่ที่ ต.สองคลอง อ.บางประกง จ.ฉะเชิงเทรา คลองหงษ์ทองในพื้นที่นี้นับว่าเป็นคลองชายฝั่งทะเลที่ขุดเลียบแนวตะเข็บ ระหว่าง อ.บางประกงของฉะเชิงเทรา กับ อ.คลองด่านของสมุทรปราการ นั่นคือจากถนนสุขุมวิทสายเก่า หากไม่เลี้ยวซ้ายเข้าวัดหงษ์ทอง ตรงไปอีกนิดเดียวก็เข้าเขตจังหวัดสมุทรปราการ หรืออีกเพียง ๑๐ กิโลเมตรก็จะถึงสถานตากอากาศบางปูอันลือลั่นมาแต่อดีตนั่นเอง ความเป็นมาของวัดหงษ์ทอง พระครูปรีชาประภากร (ปราชญ์ ปภากโร ศรนิล) เจ้าอาวาสวัดหงษ์ทอง ย้อนอดีตให้ฟังถึงความเป็นมาที่สิ่งปลูกสร้างสำคัญของวัดล้วนปลูกสร้างอยู่ “ในทะเล” จนถือเป็น “UNSEEN ของแปดริ้ว” ว่า สมัยที่ตัวท่านเองยังเป็นฆราวาสชื่อนายปราชญ์ ศรนิล ประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่ที่บ้านเกิดนี้ เมื่อถึงวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านหงษ์ทองต้องเดินลุยโคลนสูงท่วมเข่า ลุยป่าชายเลนไปทำบุญที่วัด ซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลวงปู่ปานวัดคลองด่าน ได้ริเริ่มตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่ตั้งวัดปัจจุบันนี้ โดย กำนันสนใจ ภิญโญ บอกยกที่ดินให้วัดด้วยปากเปล่าเพื่อชาวบ้านจะได้ประกอบศาสนกิจได้สะดวกขึ้น

ต่อมา มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมารวบรวมซื้อที่ดินละแวกคลองหงษ์ทองและคลองขุดจากชาวบ้าน ที่ดินตรงนี้ถูกขายไปด้วย จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นายปราชญ์ ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านขณะนั้น พระอาจารย์โพธิ์ วรธรรมโม (แก้วขาว) เป็นหัวหน้าสำนักสงฆ์แห่งนี้อยู่ ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล ได้เป็นกำลังสำคัญทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวบ้านและสำนักสงฆ์ ไปเจรจาขอซื้อที่ดินบริเวณที่ตั้งสำนักสงฆ์ ๒๑ ไร่ ๒ งาน จากบริษัทเอกชนรายดังกล่าว จนบริษัทยอมขายให้ในราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยขอเวลาผ่อนชำระ ๓ ปี ซึ่งกว่าจะชำระเงินได้ครบถ้วน ผู้ใหญ่ปราชญ์ ต้องวิ่งเต้นประสานงาน และประสานความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านเป็นอย่างมาก ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๗ นี่เอง ที่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์จนเป็นวัด แต่แรกจะตั้งชื่อว่า วัดพระปฐมหลวงปู่ปานอุปถัมภ์ แต่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแนะนำให้ใช้ชื่อ “หงษ์ทอง” ตามชื่อคลอง “คลองวัดหงษ์ทอง” จึงเป็นวัดโดยสมบูรณ์นับจากนั้นมา โดยกล่าวได้ว่า ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล เป็นฆราวาสคนสำคัญในการฝ่าฟันอุปสรรค บุกเบิกสร้างวัดนี้มากับมือ

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ขณะที่ผู้ใหญ่ปราชญ์ ศรนิล อายุได้ ๕๗ ปี ได้ตัดสินใจอุปสมบท จากนั้นก็กราบลาเจ้าอาวาสออกธุดงค์เป็นเวลา ๖ ปี เมื่อเจ้าอาวาสมรณภาพ ชาวบ้านได้นิมนต์ให้ท่านกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสนับแต่นั้นมา ปัจจุบันท่านมีสมณศักดิ์เป็น พระครูปรีชาประภากร (ปราชญ์ ปภากโร) บูรณะพัฒนาวัดหงษ์ทอง-ศาสนสถานในทะเล เมื่อมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านพบว่าที่ดินของวัดถูกน้ำทะเลกัดเซาะ จาก ๒๑ ไร่เศษเหลือเพียง ๘ ไร่ จึงเร่งบูรณะพัฒนาวัดทั้งด้านสถานที่และระเบียบวินัย เริ่มจากการทำเขื่อนยุติปัญหาน้ำเซาะที่ดิน ซึ่งในระยะแรกท่านต้องลงแรงทำด้วยตัวเองด้วย ปรับปรุงทางคมนาคมเข้าวัดและหมู่บ้านให้มีความสะดวก ด้านกฎระเบียบท่านห้ามจัดมหรสพ ห้ามเล่นการพนัน เสพของมึนเมาภายในบริเวณวัด เคร่งครัดในการปกครองสงฆ์ห้ามออกเรี่ยไรชาวบ้าน

หลังจากนั้นท่านได้ก่อสร้างถาวรวัตถุของวัดในอาณาบริเวณเดิมซึ่งที่ดินถูกกัดเซาะลงทะเลไป สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จึงเสมือนปลูกสร้างอยู่ในทะเล ทว่าล้วนตั้งอยู่ในพิกัดโฉนดที่ดินของวัดทั้งสิ้น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนาจิต ศาลาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ศรนิลอนุสรณ์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๔๑ กว้าง ๑๘ วา ยาว ๓๐ วา ซึ่งปัจจัยทั้งหมดได้มาจากการบริจาคด้วยความศรัทธาของพสกนิกร ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนร่วมสร้างถวายเป็นพระราชกุศล เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนภิเษก ฉลองศิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พระธาตุคงคามหาเจดีย์ ปรีชาประภากร ปราชญ์ ศรนิล อนุสรณ์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ พระธาตุคงคามหาเจดีย์ฯ มีด้วยกัน ๓ ชั้น แต่ละชั้นจะมีภาพวาดฝาผนังแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาพุสนา เช่นภาพพุทธประวัติภาพพระโพธิสัตว์ปางอวตารต่างๆ ภาพวาดพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่เป็นที่เคารพสักการะ ที่สำคัญที่สุดคือบนชั้นสามของพระธาตุฯ เป็นที่บรรจุพระธาตุพระอรหันต์ในทะเลแห่งแรกของโลก ทางขวาของพระธาตุเป็นสิ่งก่อสร้างล่าสุดของวัดคือ พระอุโบสถ ซึ่งก่อสร้างในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ แล้วเสร็จปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ภายในมีภาพเขียนจิตกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวพุทธประวัติอย่างสวยงาม ด้านหลังของพระธาตุคงคามหาเจดีย์ มีเรือรบจำลอง และรูปหล่อพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เด่นเป็นสง่าหันหน้าออกปากอ่าว สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนสร้างอยู่กลางทะเลทั้งสิ้น โดยสามารถเดินจากเขื่อนของวัดมาตามสะพานคอตกรีตที่ทอดยาวไปในทะเล ก็จะผ่านศาลา ด้านหลังศาลามีสะพานคอนกรีตยาว ช่วงแรกของสะพานประดับด้วยพญานาค เมื่อเดินไปสุดสะพานจะถึงพระธาตุ และพระอุโบสถ หลังพระธาตุถึงลานประดิษฐานรูปหล่อของกรมหลวงชุมพรฯ จะมีสะพานทอดยาวยื่นออกไปในทะเลอีก นอกจากสามารถเทียบเรือแล้ว ยังใช้เป็นจุดชมทิวทัศน์ท้องทะเล ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้เป็นอย่างดี เดิมทีวัดหงษ์ทองไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ศาลากลางน้ำสร้างเสร็จ

ขอขอบคุณ http://www.dhammajak.net/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .