ผู้สร้างวัดและความสำคัญของวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร

A9_1

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยานิกรบดินทร (เจ้าสัวโต ต้นสกุลกัลยาณมิตร) ว่าที่สมุหนายก ชื่อจีนว่า เต๋า แซ่อึ้ง เมื่อครั้งยังเป็นพระยาราชสุภาวดี เจ้ากรมพระสุรัสวดีกลาง (ชื่อกรมในสมัยโบราณ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีไพร่พล ตลอดจนการเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ามาฝึกอาวุธและวิชาการรบ เพื่อเป็นกำลังสำรองเวลาบ้านเมืองมีศึกสงคราม) ได้อุทิศที่บ้านกับซื้อที่ดินบริเวณใกล้เคียงเพิ่มเติมเข้าด้วยกันสร้างพระอาราม ที่ดินบริเวณที่จะสร้างวัดกัลยาณมิตรนี้เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีดินเป็นแม่น้ำดอนขึ้น ครั้งกรุงธนบุรีเป็นที่จอดแพได้ ครั้นนานวันผันกลับดอนเป็นดิน กลายเป็นที่ตั้งบ้านเรือนของพ่อค้าชาวจีนฮกเกี้ยนที่ได้รับพระราชทานที่ดินจากพระมหากษัตริย์ไทย เช่น หลวงพิชัยวารี (เจ้าสัวมั่ง แซ่อึ้ง) บิดาของเจ้าพระยานิกรบดินทร ชุมชนย่านนี้นอกจากชาวจีนแล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยของทั้งชาวโปรตุเกส ชาวมุสลิม ชาวไทย และยังมีพระภิกษุจีนพำนักอยู่ด้วย ชาวบ้านจึงเรียกย่านนี้ว่า ชุมชนกะดีจีน หรือ กุฎีจีน

การก่อสร้างพระอารามเริ่มลงมือเมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๖๘ เป็นปีที่ ๒ในรัชกาลที่ ๓ แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนาม วัดว่า วัดกัลยาณมิตรŽ ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ บันทึกไว้ว่า …เจ้าพระยานิกรบดินทรยกที่บ้านเดิมของท่าน แล้วซื้อที่บ้านข้าราชการและบ้านเจ้าสัว

เจ้าภาษี นายอากรอื่นอีกหลายบ้านสร้างเป็นวัดใหญ่พระราชทานชื่อวัดกัลยาณมิตร แต่พระวิหารใหญ่เป็นของหลวง…Ž

นามพระราชทานวัดว่า กัลยาณมิตรŽ ที่หมายถึง มิตรดี หรือเพื่อนดี เพื่อนผู้มีกัลยาณมิตร คงมาจากความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ที่มีต่อเจ้าพระยานิกรบดินทร ผู้สร้างวัดนี้ ซึ่งได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่พระองค์ยังดำรงพระยศในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ประทับอยู่ที่วังท่าพระ ทรงกำกับราชการกรมท่า เจ้าพระยานิกรบดินทรได้เข้านอกออกในวังท่าพระทุกวัน จนคุ้นเคยสนิทสนมกับข้าในวัง โดยเฉพาะห้องเครื่อง เพราะท่านเป็นผู้จัดทำแกงจืดอย่างจีนที่เรียกว่า เกาเหลาŽ ถวายเสด็จในกรมฯ เลี้ยงบรรดาเจ้านายข้าราชการที่เมื่อออกจากเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่ ๒ แล้ว ส่วนมากมักแวะมาพักและรับประทานอาหารว่างที่วังท่าพระก่อน

เสด็จในกรมฯ ทรงค้าขายทางสำเภาด้วย ทำให้เจ้าพระยานิกรบดินทรได้ค้าขายสำเภาร่วมกับพระองค์ทั้งก่อนและภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ และจะเห็นได้จากการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารหลวงพระราชทานช่วยเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทรสร้างวัดถวาย ด้วยทรงพระเมตตากรุณารักใคร่เป็นพิเศษ พร้อมกับเสด็จพระราชดำเนินก่อพระฤกษ์พระโต เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๘๐ พระราชทานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง พระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์นี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือ มีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิงวรวิหาร

นอกจากนี้ยังโปรดให้หล่อพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์พระราชทานช่วยเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และสร้างศาลาการเปรียญพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร ผู้เป็นกัลยาณมิตรของพระองค์

ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้าฯให้สร้างหอไตร ณ วัดกัลยาณมิตร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘ พระราชทานนามว่า หอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติŽ ทั้งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแห่งพระบรมราชมาตามหัยยิกา กรมพระศรีสุดารักษ์ (แก้ว) ผู้เป็นพระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบรมราชมาตามหัยยิกาธิบดี พระภัสดาในกรมพระศรีสุดารักษ์ (ขรัวเงิน) ซึ่งเป็นพระชนนีและพระชนกในสมเด็จกรมพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (เจ้าฟ้าบุญรอด) พระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างตรงบริเวณที่จอดแพของสมเด็จกรมพระศรีสุดารักษ์มาก่อน เพื่อประกอบพระราชกุศลตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระบรมเชษฐาธิราช กับทั้งเป็นการปูนบำเหน็จเชิดชูเกียรติของเจ้าพระยานิกรบดินทรด้วย (ในรัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระยาราชสุภาวดี (โต) เป็น เจ้าพระยานิกรบดินทร มหินทรมหากัลยาณมิตรฯ ที่สมุหนายก สำเร็จราชการทั้งปวงในกรมมหาดไทย) นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังพระราชทานนามพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในพระวิหารหลวงซึ่งเดิมเรียกว่า พระโตŽ ว่า พระพุทธไตรรัตนนายกŽ นามพระราชทานเหมือนกันกับที่พระราชทาน พระโตŽ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ขอขอบคุณ http://www.watkalyanamitra.com/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .