วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

watpho

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อว่าวัดโพธาราม ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า วัดโพธิ์ เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา คาดว่าสร้างระหว่างปี พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ ในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาต่อกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จวบจนปัจจุบันวัดนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ปี เดิมเป็นวัดราษฎร์เล็กๆ อยู่ในเขตตำบลบางกอก ปากน้ำเจ้าพระยา ไม่ปรากฏนามว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง

เขตติดต่อ

พระอารามหลวงแห่งนี้มีเนื้อที่ ๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางว่า ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง

ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง

ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย

ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ

ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช

มีถนนเชตุพนขนาบด้วยกำแพงสีขาวแบ่งเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่ มีวัดอยู่ในเขตใกล้ชิดพระราชฐาน ๒ วัด คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุ) และวัดโพธาราม จึงทรงแบ่งปันการบูรณปฏิสังขรณ์วัดทั้งสองนี้กับสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท(วังหน้า) พระองค์ละวัด คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงรับปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม ส่วนสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงรับปฏิสังขรณ์วัดสลัก ด้วยเหตุนี้จึงถือกันว่า วัดพระเชตุพนฯ เป็นวัดของฝ่ายวังหลวง วัดมหาธาตุเป็นวัดของฝ่ายวังหน้าแต่นั้นมา

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างวัดโพธารามใหม่ในที่เดิม เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๓๓๒ใช้เวลาก่อสร้างนานถึงกว่า ๗ ปี และทรงพระราชทานนามวัดโพธารามเสียใหม่ว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนสร้อยนามวัดเสียใหม่ว่า”วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม”

พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของรัชกาลที่ ๑ เกี่ยวกับการสร้างและสถาปนาพระอารามแห่งนี้คือ โปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ซึ่งมีหลายปางจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐ องค์ จากวัดร้างในหัวเมืองทางภาคเหนือ เช่น สุโขทัย พิษณุโลก ทางภาคกลาง เช่น อู่ทอง สุพรรณบุรีลพบุรี เป็นต้น พระพุทธรูปเหล่านี้ที่สมบูรณ์ก็มี ที่ชำรุดบางส่วนก็มี แล้วให้ช่างต่อเติมเสริมแต่งซ่อมให้สมบูรณ์ ประดิษฐานไว้ณ ระเบียงพระอุโบสถทั้งชั้นนอกและชั้นใน ในวิหารทิศทั้ง ๔ แห่งวิหารคดและระเบียงพระมหาเจดีย์ เป็นต้น

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงเห็นว่า วัดพระเชตุพนฯ อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม
มาก จึงโปรดฯให้บูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ พร้อมทั้งสร้างปูชนียวัตถุและปูชนียสถานเพิ่มเติม และขยายอาคารบางหลังให้ใหญ่ขึ้นเพราะทรงมีพระประสงค์ที่จะทำนุบำรุงพระอารามนี้ให้รุ่งเรืองสุดยอด เสมือนหนึ่งกรุงศรีอยุธยาที่รุ่งเรื่องด้วยวัดวาอารามที่สวยงามสง่าจำนวนมากประดับพระนครมาแล้ว นายช่างทุกประเภทจึงทำงานด้านศิลปกรรมของพระอารามนี้กันอย่างสุดฝีมือ ยังผลให้มีงานศิลปะเอกหลายอย่างเกิดขึ้นในรัชกาลนี้ เช่น ประตูพระอุโบสถประดับมุก ซึ่งเป็นงานละเอียดวิจิตรบรรจงประเภทหนึ่ง

พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งของรัชกาลที่ ๓ ที่สืบผลมาจนทุกวันนี้ คือศิลาจารึกตำราวิทยาการทุกสาขาวิชาปรากฏ
อยู่ทั่วเขตพุทธาวาสของพระอาราม เพราะพระมหากรุณาธิคุณที่ประสงค์จะให้วัดนี้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียนของประชาชนทุกชั้น เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ การบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามแห่งนี้ใน
สมัยรัชกาลที่ ๓ กินเวลาต่อเนื่องนานถึง ๑๖ ปี จึงเสร็จเรียบร้อย

ขอขอบคุณ http://www.lib.su.ac.th/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .