ภาพวาดประวัติตำนานพระเจ้าตนหลวง ซึ่งเป็นภาพเก่าซึ่งวาดโดย จ ขันธะกิจ บิดาของสล่าแดง เป็นการเล่าเรื่องราวประวัติดพระพุทธเจ้ากับพญานาคในกว๊านพะเยา และภาพการก่อสร้างพระเจ้าตนหลวง ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากประเทศอินเดียมาที่ดอยจอมทอง นายช่างทองได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์แต่มิได้ถวายน้ำฉัน พระพุทธองค์จึงให้พระอานนท์ถือบาตรจะมาตักน้ำสระหนองเอี้ยวข้างเชิงดอย ขณะนั้นมีพญานาคตนหนึ่งอาศัยอยู่ ในสระหนองนั้นเมื่อเห็นพระอานนท์ถือบาตรจะมาตักน้ำ พญานาคก็ไม่ให้ พ่นควันขึ้นที่หงอน แผ่พังพานเป็นประดุจหมอกควันปกคลุมสระหนองจนมองไม่เห็นน้ำ ท่านไม่สามารถตักน้ำในสระนั้นจึงไปกราบบังคมทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบแล้วจึงเสด็จไปประทับยืนข้างสระหนองในทันใดนั้น พญานาคเห็นพระองค์ประทับทำทีจะพ่นควันแผ่พันพานแต่พอเห็นรูปกายของพระพุทธเจ้าเต็มไปด้วยรัศมีเปล่งปลั่ง พญานาคไม่เห็นมาก่อนจึงถามพระองค์ว่า ท่านเป็นใคร มาจาไหน พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เราคือ ตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า” มาจากศากยชนบทเพื่อประกาศสั่งสอนเวนัยสัตว์และประดิษฐานพระพุทธศาสนา เรามาที่นี่เพื่อต้องการน้ำดื่ม ท่านไม่ให้น้ำแก่เรา พระองค์ตรัสต่อไปว่า เมื่ออดีตกาล พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เช่น พระเ้จ้า กะกุสันธะ ก็เสด็จมาฉันจังหัน และดื่มน้ำในหนองสระที่นี่ครั้นและพระพุทธองค์ก็แสดงอภินิหารเนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้ใหญ่เท่ากับพระพุทธเจ้ากะกุสันธะพระองค์นั้น พญานาคเห็นพระวรกายใหญ่และสูง ๓๒ ศอก ครั้นเห็นแล้วจึงเกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาพร้อมกับได้ถวายน้ำแด่พระองค์พระพุทธองค์ตรัสกะพญานาคต่อไป ว่าเมื่อเราตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ศาสนาของเราย่างเข้าจะถึงครึ่งค่อน ๕๐๐๐ พระวรรษา ท่านจงมาสร้าางรากฐานพระพุทธศาสนาลงในสระหนองที่นี่และสร้างพระพุทธรูปให้ใหญ่เท่าพระเจ้ากะกุสันธะสัมมาสัมพุทธะ สูง ๓๒ ศอก เป็นต้น ดังนี้พญานาครับเอาพระดำรัสนั้นแล้วก็กลับสู่นาคพิภพของตน
ครั้นต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานนานได้ ๒๐๓๐ ในเวลากลางคืนวันหนึ่ง พญานาคมารำพึงถึงพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ครั้งก่อนโน้นว่า ให้เราสร้างพระพุทธรูปในสระหนองเอี้ยงที่นั้น พญานาคระลึกได้แล้วจึงนำเอาทองคำจำนวนสี่แสนห้าร้อยจากนาคพิภพมาไว้ ณ สระหนองดังกล่าวแล้วนิรมิตเพศเป้นบุุรุษนุ่งขาวห่มขาวขึ้น ไปสู่บ้านเรืองของสองผัวเมีย ซึ่งตั้งบ้านเรืออยู่ใกล้สระหนองเอี้ยง มีอาชีพเลี้ยงเป็ดและห่านเลี้ยงครอบครัวของตน พญานาคขึ้นไปแล้วแจ้งความประสงค์ที่ตนรับพระดำรัสไว้ให้สองตายายฟัง เมืองสองผัวเมีย ตายายทราบความแล้วนั้น พญานาคก็พาสองตายายไปรับทองคำมาไว้ในเรืองของตนแล้วพญานาคก็กลับไปสู่นาคพิภพของตนสองผัวเมียเมื่อรับมอบหมายทองคำจาพญานาคแล้วก็นำเอาทองนั้น มาลงทุนถมสระหนองถมอยู่นานถึง ๒ ปี ๗ เดือน จึงเต็มบริบูรณ์ ต่อจากนั้น ก็ลงมือปั้นอิฐได้มากพอสมควร รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงได้ว่าจ้างคนอื่นปั้นอีก รวมได้อิฐจำนวนสีี่แสนก้อน เมื่อพอแล้วก็ตระเตรียมวัตถุสิ่งอื่น อาทิเช่น ปูนขาว น้ำอ้อย ร้กหาง(ชาด) พร้อมแล้วจึงปรารภก่อพระพุทธรููปต่อไป ขณะนั้นเป็นสมัยพระยายอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่ พระยาเมืองยี่ครองเมืองพะเยา จุลศักราชได้ ๘๕๓ พุทธศึกราช ๒๐๓๔ วันพุทธขึ้น ๑๕ ค่ำื เดือน ๘ (แปดเหนือ) ยามกองงาย (ยามเช้า) ได้ฤกษ์ตั้งเสาอินทขิล สองตายายแรกก่อพระพุทธรูปเจ้าตนหลวงกำลังก่อสร้างยังไม่ทันจะเสร็จได้เพียง ๔ ปีเท่านั้น พระยายอดและพระยาเมืองยี่ ก็มาถึงแก่พิราลัยไปเสีย พระเมืองแก้วขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ พระยาหัวเคียนครองเืมืองพะเยาครองได้ยี่สิบปีพระยาหัวเคียนก็มาถึงอนิจกรรมพระเมืองแก้วจึงสถาปนาพระเมืองตู้(ราชโอรสพระยาหัวเคียน)ขึ้นครองเมืองพะเยา สองตายายก่อสร้างพระพุทธรูปจนถึง จุลศึกราช ๘๘๖ พุทธศักราช ๒๐๖๗ ตรงกับวันพุธขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก จึงเสร็จ สิริวมเวลาก่อสร้างได้ ๓๓ ปี
ขอขอบคุณ http://www.lanna-culture.com/