วิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่ อยู่ในอำเภอด่านขุนทด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเสียทีเดียว มีเส้นทางหลักๆ เข้ามาที่วัดได้ 2 ทาง ทางแรกมาจากถนนมิตรภาพใกล้ๆ อำเภอสีคิ้ว มีทางแยกเข้ามาอำเภอด่านขุนทด ส่วนอีกทางมาจากแก้งค้อ บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ปกติถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนมิตรภาพเลี้ยวเข้าด่านขุนทดอาจจะไม่ได้เห็นมุมนี้ที่ผมเห็นระหว่างเดินทางเข้าวัด เราเห็นรูปช้างใหญ่ๆ สูงพ้นยอดไม้ขึ้นมาหันหน้าไปทางโบสถ์ ยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่สิ่งนี้แหละที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศให้เดินทางมาที่วัดบ้านไร่ เดี๋ยวเข้าไปในวัดแล้วคงรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
โบสถ์กระเบื้องเคลือบ หลังจากที่เข้ามาในประตูวัด ก็เห็นแล้วแหละว่าช้างใหญ่ๆ นั้นน่าจะเป็นวิหารสร้างใหม่ ปกติคนมาถึงวัดก็คงตรงดิ่งไปที่นั่น แต่ระหว่างที่เดินจากลานจอดรถไปด้านหน้าของวิหารรูปช้าง เห็นโบสถ์หลังใหญ่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสวยงาม โบสถ์ยกพื้นสูงด้านล่างใช้เป็นศาลาขนาดใหญ่ แม้ว่าจะสร้างวิหารรูปช้างขึ้นมา โบสถ์ก็ยังคงความสวยสง่าไม่แพ้กัน ก็เลยเดินขึ้นมาที่โบสถ์ ไหว้พระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปชมวิหารเทพวิทยาคม กับพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ
วิหารเทพวิทยาคม หรืออีกชื่อหนึ่งคือ วิหารปริสุทปัญญา วิหารรูปวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร มีลานรอบวิหารเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 เมตร สูง 40 เมตร ตั้งอยู่กลางบึงเนื้อที่ 30 ไร่ มองด้านข้างเหมือนเป็นรูปช้างยืน แต่พอได้มาเห็นใกล้ๆ จึงได้รู้ว่า เศียรช้างเป็นช้างเอราวัณพาหนะของพระอินทร์ที่ประจำซุ้มด้านตะวันออก แล้วยังมีอีก 3 ซุ้ม แล้วจะพาไปดูใกล้ๆ
วิหารหลังนี้ชาวบ้านเรียกกันสั้นๆ ว่า วิหารเทพ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลาน้ำมนต์ ปริสุทธาร กับศาลาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือศาลาปริสุทธรรม แล้วก็ยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ วิหารแฝงไว้ด้วยคติธรรมอยู่ทุกจุด การจะเข้าไปชมวิหารจะมีไกด์พาไปชมพร้อมกับอธิบายคติธรรมต่างๆ ให้เป็นความรู้แก่นักท่องเที่ยว มีบัตรสมาร์ทการ์ดให้แลก ใช้การ์ดในการทำบุญตามจุดต่างๆ ในวิหาร ระบบจะหักยอดเงินในบัตรจุดละ 30 บาท เหลือเท่าไหร่ก็เอาการ์ดมาแลกเงินคืนตอนกลับ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไกด์จะพาเข้าชมเป็นกลุ่มๆ ถ้ามากันน้อยคนให้นั่งรอที่จุดที่จัดไว้ให้ เมื่อพร้อมแล้วไปยืนรวมกันที่ลานอธิษฐานหน้าพญานาค เป็นลานประดับด้วยกระเบื้องโมเสกลงอักขระเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินที่มีพญานาคขนาบ 2 ข้าง
พญานาคทั้งสองเป็นพญานาค 19 เศียร รวมได้ 38 เศียร หมายถึง มงคลชีวิต 38 ประการ พญานาคด้านซ้ายสีฟ้า ส่วนด้านขวาสีแดง เปรียบกับอารมณ์ของคนเรามีสุข มีทุกข์ ความโกรธคือทุกข์แทนด้วยสีแดง พญานาคหน้าวิหารประดับด้วยกระเบื้องโมเสกตนละ 1 ล้านชิ้น รวมเป็น 2 ล้านชิ้นเข้าไปแล้ว รวมทั้งวิหารจึงใช้กระเบื้องในการตกแต่งถึง 20 ล้านชิ้นโดยประมาณ
วัตถุประสงค์ที่สร้างเพื่อให้วัดบ้านไร่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของ จ.นครราชสีมา มีความตั้งใจกำหนดแล้ วเสร็จในปี 2556 ในโอกาสหลวงพ่อคูณฯ อายุ 90 ปี การก่อสร้างคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 240 ล้านบาท คณะกรรมการวัดบ้านไร่จึงได้มีดำริสร้างพระกริ่งเทพวิทยาคมและพระชัยวัฒน์เทพวิทยาคมขึ้น เพื่อเป็นการหาทุนการก่อสร้างในเบื่องต้น
พญานาค 7 เศียร พญานาคกลางน้ำ สร้างตามคติว่าหลวงพ่อได้โยนแก้ว 7 สี ลงในบึงนี้ เกิดเป็นพญานาคตนนี้ขึ้นมา ตามคำบอกเล่าของลูกศิษย์และไกด์ สำหรับพญานาคตนนี้ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก จำนวน 9 แสนชิ้นโดยประมาณ
วิหารเทพวิทยาคม หรือวิหารปริสุทปัญญา เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นมา มีเวลาเปิด 08.00 น. และปิดเวลา 17.00 น. หลังจากนั้นจะมีรั้วเหล็กมาปิดตรงปลายทางเดิน คนที่มาหลัง 5 โมงเย็นยังคงเดินมาถ่ายรูปใกล้ๆ ได้จนถึงแนวรั้ว เมื่อพระอาทิตย์ตก จะมีการเปิดไฟส่องสว่าง จนถึงเวลา 2 ทุ่มทุกวัน เพื่อเป็นการวอร์มอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ให้เสียเร็ว รวมทั้งเป็นการตรวจสอบว่าทุกระบบทำงานได้เป็นปกติ
ซุ้มประตูเสริมอภิมหาบารมี ๔ ทิศ เริ่มจากซุ้มแรกที่เราจะเจอ ก็คือตรงทางเข้าด้านหน้า เป็นซุ้ม ทิศตะวันออก พระอินทร์ (ภาพบนซ้าย) เป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ส่วนช้างเอราวัณสร้างให้มีขนาดใหญ่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดต่อออกมาจากดาดฟ้า ด้านหน้ามีที่วางรองเท้าไว้ จากตรงนี้ไปควรถอดรองเท้าเดินชมภายใน แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปด้านในขอเดินเก็บภาพซุ้มประตูต่างๆ ให้ครบก่อนด้วยการเดินเวียนขวา ดังนี้ครับ
ทิศใต้ พระยม ภาพบนขวา ตกแต่งด้วยภาพปูนปั้นหลายรูปด้วยกัน ได้แก่ งูกินเขียดหรือกบ แสดงคติธรรม สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และเปรียบให้เห็นว่าสิ่งที่ตามกินเราอยู่ก็คือกิเลส แล้วก็มีภาพอบายภูมิต่างๆ
ทิศตะวันตก พระพิรุณ ภาพล่างซ้าย พระพิรุณ เทพแห่งน้ำและความอุดมสมบูรณ์ ความร่มเย็นเป็นสุข ความสงบสุข องค์พระพิรุณ มี ๔ พระกร ทรงถือดอกบัว หมายถึงปัญญา บ่วงบาศ หมายถึงความมั่นคง ยุติธรรม หอยสังข์ หมายถึงความสุขความร่มเย็น และกล่องอัญมณี หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง ทรงจระเข้เป็นพาหนะ ประติมากรรมองค์พระพิรุณ มีความสูง ๔.๕๙ เมตร ฐานกว้าง ๒.๖๐ เมตรเสาสองข้างประดับด้วยนางฟ้าและยักษ์ขนาดใหญ่เป็นบริวารเฝ้าซุ้มประตู มีประตูทางเข้าภายในโถงกลาง หน้าซุ้มประตูมีส่วนหางของพญานาค 2 ตนที่มาพันกันอยู่ในลักษณะอุ้มแก้วสารพัดนึกเอาไว้ เป็นแก้วขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ติดตั้งอยู่ระหว่างเกลียวหางของพญานาค ซึ่งพันกันหุ้มรอบดวงแก้วซึ่งมีรัศมีสว่างเรืองรองตลอดเวลา หางพญานาคที่พันกันยกขึ้นเป็นซุ้มให้ลอดผ่านเพื่อพบแสงสว่างแห่งดวงจิตนำทางสูงสิ่งที่ดีงามทำบุญกับซุ้มหางพญานาคนี้ เพื่อรับประกายแห่งสติปัญญาที่จะทำให้พบแต่ความสมปรารถนาในทุกประการ
ทิศเหนือ พระกุเวร ภาพล่างขวา พระกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เทพแห่งทรัพย์ บันดาลให้เกิดทรัพย์ ผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา และคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ มีความสูง ๓.๕๓ เมตร ฐานกว้าง ๑.๖๐ เมตรพระหัตถ์ถือกระบองเป็นอาวุธ ปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายมารังควาญผู้ประพฤติดี ทรงม้าเป็นพาหนะ แสดงถึงความอิสระ ความยุติธรรม และมียักษ์สูง ๒.๑๐ เมตร เป็นบริวารผู้เฝ้าขุมทรัพย์ บนยอดจั่วหลังคามีเทพกินนรเทวดาครึ่งนกผู้จรรโลงสวรรค์และบันดาลความสุข มีนกทัณฑิมาปักษาแห่งสวรรค์ และยักษ์มงกุฎนาคผู้ปกป้องความชั่วร้าย
ขอขอบคุณ http://www.touronthai.com/