เที่ยวภูเขาทอง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จ.กรุงเทพมหานคร

img_9558

วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา เนื่องจากเคยประทับทำพิธีพระกระยาสนาน เมื่อเสด็จกรีธาทัพกลับจากกัมพูชามาปราบจลาจลในกรุงธนบุรี และเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติใน พ.ศ. ๒๓๒๕

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะและสร้าง พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง ทรงกำหนดให้เป็นพระปรางค์มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง แต่สร้างไม่สำเร็จในรัชกาล เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงทรงให้เปลี่ยนแบบเป็นภูเขาก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ การก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

หลวงพ่อโต
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่ใหญ่มากองค์หนึ่ง พระพุทธรูปที่ใหญ่ขนาดนี้ส่วนมากปั้นด้วยปูน ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อโต” คงจะเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปใหญ่นั้นเอง

หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ที่บริเวณภูเขาทองมาเป็นเวลาช้านาน หันพระพักตร์ไปทางคลองมหานาค ที่ขุดผ่านบริเวณวัด หันหลังให้ภูเขาทองมีพระวิหารทำด้วยไม้ มีฝากั้นทำด้วยไม้เช่นกัน ส่วนฐานก่อนอิฐถือปูนสูงกว่าพื้นดินประมาณ ๓ เมตร เมื่อยังไม่มีห้องแถวฝั่งตรงกันข้ามคงจะมองเห็นเด่นชัด และสวยงาม เพราะมีคลองคั่นอยู่ด้วย

ประวัติหลวงพ่อโตที่พอจะนำมาอ้างได้ปรากฏอยู่ในหมายรับสั่ง ร.๓ เล่ม ๕ จ.ศ. ๑๒๑๒ มีความองค์ตอนหนึ่งว่า “พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชศรัทธาให้สร้างพระพุทธปฏิมากรพรองค์หนึ่ง หน้าตักกว้าง ๗ ศอกเศษ๒

มีคำเล่ากันมาว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดสระเกศในสมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถระ ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทรงดำริที่จะนำหลวงพ่อโตเข้ามาประดิษฐานที่เชิงบรมบรรพต ภูเขาทองด้านทิศเหนือตรงกันกับที่ประดิษฐานเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นปูชนียวัตถุสำคัญซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง

เมื่อพระราชดำรินี้ได้ทราบถึง ดร.บุญรอด บิณฑสัณห์ และคุณหลวงสัมฤทธิวิศวกรรม จึงได้สละทรัพย์จำนวนแสนเศษเป็นค่าก่อสร้างฐานรองรับ ครั้นวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้ประกอบพิธีอันเชิญขึ้นประดิษฐานบนฐานที่สร้างใหม่

ต่อมาทางวัดได้สร้างพระวิหารเพื่อให้เหมาะสมและสะดวกแก่ผู้ที่เคารพนับถือ เลื่อมใสมาสักการบูชาปรากฏว่า มีผู้มาสักการบูขาอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ถือว่า “เป็นหลวงพ่อที่ให้ความคุ้มครอง ให้ความสุข ความเจริญ”

หลวงพ่อดำ
หลวงพ่อดำ เป็นพระปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักว้าง ๔ ศอก ฝีมือปั้นสันนิษฐานว่าเป็นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพต(ภูเขาทอง) มาแต่ต้น เล่ากันมาว่าสร้างไว้ให้เพื่อเจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาบนองค์บรมบรรพต ได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้

ชาวบ้านโดยเฉพาะที่อยู่ใกล้วัดมีความเคารพนับถือกันมากพอสมควร มีคนไปไหว้ไม่ขาด และเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ หลวงพ่อดำ” เล่ากันว่าแต่เดิมลงรักไว้ แต่ไม่ได้ปิดทอง เดิมทีมีวิหารไม้หลังเล็กๆไม่มีฝากั้น ก่อกำแพงไว้สูงประมาณครึ่งเมตร ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ ทางวัดคิดสร้างพระวิหารเพื่อให้เหมาะสมกับพระพุทธรูปที่สำคัญประจำวัด บริษัท สง่าพานิช จำกัด ได้ทราบความคิดของทางวัด มีจิตศรัทธารับเป็นเจ้าภาพจัดสร้างถวาย อุทิศส่วนกุศลแก่นายสง่า วรรณดิษฐ์ พระวิหารหลังนี้ ลักษณะทรงไทยประยุกต์ สิ้นค่าก่อสร้าง ๓๐๐,๐๐๐.๐๐ บาทเศษ (สามแสนบาทเศษ)

บรมบรรพต เจดีย์ภูเขาทอง
“บรมบรรพต” นามพระราชทาน ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเดิมคือ “พระเจดีย์ภูเขาทอง” แต่ชาวไทยนิยมเรียกง่ายๆ กันว่า เจดีย์ภูเขาทอง พระเจดีย์องค์นี้ นับเป็นพุทธสถานที่สำคัญของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เหมือนกับพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร นับเป็นสัญลักษณ์ของวัดที่คนทั่วโลกรู้จักกันมากกว่าพุทธสถานรอบวัด และมุ่งมั่นที่จะได้ชมมรดกทางพุทธศิลป์แห่งนี้

พระเจดีย์ภูเขาทององค์นี้สร้างขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดสระเกศครั้งใหญ่นั้น ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระเจดีย์เหมือนอย่างวัดภูเขาทองที่กรุงศรีอยุธยา มีคลองมหานาคล้อมรอบวัด และเป็นคลองที่ชาวพระนครจัดเป็นที่ชุมนุมรื่นเริงลอยเรือเล่นสักวากันครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ เหมือนอย่างการละเล่นของชาวกรุงศรีอยุธยาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) ครั้งมีตำแหน่งเป็นพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาเป็นแม่กองในการสร้าง (ปัจจุบันน่าจะเป็นตำแหน่งประธานอำนวยการโครงการฯ ผู้เขียน)

แรกสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองนั้น รูปแบบเป็นปรางค์องค์ใหญ่ฐานสี่เหลี่ยมแบบย่อไม้สิบสอง อันเป็นพุทธศิลปสถาปัตยกรรมที่นิยมสร้างในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ฐานกว้าง ๕๐ วา หรือ ๑๐๐ เมตร สูง ๙ วา หรือ ๑๘ เมตร โดยขุดรากลึกลงไปในดิน (ริมคลองเป็นดินโคลน) วางท่อนซุงเรียงเป็นแพอัดแน่น อันเป็นวิธีการสร้างฐานรากเหมือนตอกเสาเข็มแล้วถมดินและหินศิลาแลง จากนั้นก่ออิฐถือปูนครอบไว้ชั้นนอก ปรากฏว่าส่วนฐานล่างองค์พระเจดีย์รับน้ำหนักดิน หิน และ ศิลาแลงที่ถมไม่ได้ ส่วนบนยอดเจดีย์จึงทรุดลงจนไม่สามารถแก้ไขได้และมิได้สร้างต่อให้แล้วเสร็จ

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) บุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ เป็นแม่กองซ่อมสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองที่ทิ้งค้างไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อ โดยซ่อมแปลงแก้ไขพระปรางค์องค์ใหญ่ทำเป็นภูเขาทองทำบันไดเวียนสองข้างจนถึงยอดมีส่วนหนึ่งทำบันไดทอดตรงลงมา (คุณอเนก นาวิกมูล ได้เขียนเล่าเรื่องบันไดตรงส่วนหนึ่งของทางขึ้นภูเขาทอง ซึ่งได้รับคำอธิบายจากอาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ว่าแต่ก่อนเป็นทางที่พระสงฆ์เดินลงมารับบาตรจากพุทธบริษัทในเทศกาลตักบาตรเทโว เมื่อมีการซ่อมบูรณะในรัชกาลต่อมาจึงได้รื้อบันไดตรง ทำเฉพาะบันไดเวียนที่ปรากฏในปัจจุบัน) ครั้นถึงเดือน ๖ ปีฉลู (ประมาณเดินพฤษภาคม) พ.ศ. ๒๔๐๘ รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อพระเจดีย์ทรงระฆังไว้บนยอดเขาหนึ่งองค์ ได้เสด็จฯ วางศิลาฤกษ์และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี “ละครใน” (ละครที่ผู้หญิงแสดงล้วน เป็นมหรสพในราชสำนัก) เป็นมหรสพฉลอง เมื่อแล้วเสร็จพระราชทานนามใหม่ว่า “บรมบรรพต”

เกร็ดประวัติบันทึกถึงผลงานพุทธศิลป์สมัยรัชกาลที่ ๔ นั้นต่างจากรัชกาลที่ ๓ เนื่องจากพระองค์ทรงผนวชนายถึง ๒๗ พรรษา ทรงรอบรู้หลักธรรมและทรงพระปรีชาในคัมภีร์สุริยะยาตร แม้การสร้างสถูปเจดีย์ทรงพอพระราชหฤทัยในแบบอย่างเจดีย์ทรงระฆังเหมือนกับพุทธิศิลป์สมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นพระพุทธเจดีย์ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างปรากฏเป็นรูปแบบของพระรัตนเจดีย์ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามพระปฐมเจดีย์ ที่เมืองนครปฐม และพระเจดีย์ภูเขาทองที่วัดสระเกศ เป็นต้น

การบูรณะซ่อมพระเจดีย์ภูเขาทองครั้งที่สองในสมัยรัชกาลที่ ๕ อันเป็นการซ่อมเสริมในส่วนที่ยังไม่เรียบร้อยต่อจากสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อแล้วเสร็จในวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลู (เทียบปฏิทินเก่าตรงกับ วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๐) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บูชาไว้ในพระบรมมหาราชวัง ประดิษฐานในพระเจดีย์ภูเขาทองเป็นครั้งแรก ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้มีงานนักขัตฤกษ์ฉลองพระเจดีย์ภูเขาทองและพระอารามหลวงวัดสระเกศ ระหว่างขึ้น ๘ – ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นประจำทุกปี

ต่อมาวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธกรมขุนนครราชสีมา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงประกอบพิธีอินเดีย และนำมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วพระองค์โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระเจดีย์ภูเขาทองเป็นครั้งที่สอง การพระราชพิธีนั้นโปรดเกล้าฯ ให้มีพิธีฉลองทั้งกลางวันกลางคืน ๓ วัน พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์จำนวน ๑๐๐ รูป ตั้งบายศรีแก้ว เงิน ทอง และเวียนเทียนสมโภช กลางคืนจัดมหรสพสมโภช มีโขน หุ่น งิ้ว หนัง (น่าจะเป็นการแสดงหนังใหญ่ ผู้เขียน) มอญรำ สิงโต รำกระถาง ไม้ลอย ญวนหก (น่าจะเป็นการแสดงกายกรรม ผู้เขียน) และจุดดอกไม้เพลิงตามธรรมเนียมโบราณ

จากการพระราชพิธีฉลองใหญ่ในสมัยราชกาลที่ ๕ แล้วนานถึง ๕๐ ปีต่อมา สมัยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ญาโณทยมหาเถร ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ทรงมีบัญชาให้กรมชลประทานเป็นแม่กองทำการซ่อมครั้งใหญ่ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๓ – ๒๔๙๗ โดยให้หยุดงานนักขัตฤกษ์ประจำปีไว้ชั่วคราว การซ่อมใหญ่ ได้แก่ องค์พระเจดีย์ภูเขาทองที่ทรุดเอียงซ่อมเสริมเหล็กคานคอนกรีต ซ่อมกำแพงรอบนอกและบันได ตัดโค่นต้นไม้ที่รกทึบให้โล่งเตียน เมื่อแล้วเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เสด็จพระราชดำเนินยังมณฑลพิธี ณ บรมบรรพต ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์ยอดพระมณฑป ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗ และเปิดให้มีงานเทศกาลนมัสการตามประเพณีโบราณฉลองกันตลอดมา

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ พลเอกประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการอำนวยการบูรณะพระเจดีย์ยอดบรมบรรพต โดยบุโมเสกสีทองและสร้างพระเจดีย์ทองระฆังเล็กขึ้นอีกสี่มุม เมื่อแล้วเสร็จทันงานนมัสการประจำปีประกอบพรราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์องค์เล็กในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๙

ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายโมเสกสีทองแบบเรียบเพื่อซ่อมแซมพระเจดีย์ภูเขาทองอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการและพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันทาสีองค์บรมบรรพตปรับปรุงปลูกต้นไม้ที่ฐานโดยรอบใหม่ เพื่อร่วมถวายเป็นพุทธบูชาและบำเพ็ญพระราชกุศลในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

บรมบรรพตหรือพระเจดีย์ภูเขาทองปัจจุบันมีขนาดสูงจากฐานถึงยอด ๖๓.๖ เมตร ฐานโดยรอบมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๑๕๐ เมตร ฐานโดยรอบยาว ๓๓๐ เมตร มีบันไดทอดขึ้นเป็นบันไดเวียน ๓๔๔ ขั้น เมื่อเดินขึ้นสู่ยอดเขาบนลานพระเจดีย์สีทอง สามารถมองทัศนียภาพกรุงเทพมหานครได้รอบไกลถึงปลายขอบฟ้า ในสมัยที่ยังไม่มีตึกสูง บนลานพระเจดีย์ยังใช้เป็นที่สังเกตการณ์อัคคีภัยของพระนครด้วย ซึ่งด้านข้างวัดสระเกศมีสถานีดับเพลิงภูเขาทองอยู่ด้วย

ขอขอบคุณ http://tinyzone.tv/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .