วัดจีนประชาสโมสรหรือวัดเล่งฮกยี่ เป็นวัดจีนในมหานิกาย มีประวัติความเป็นมายาวนาน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาในคณาจารย์จีนวังส์สมาธิวัตร(สกเห็ง) ปฐมบูรพาจารย์แห่งนิกายมหายานในประเทศไทย ปฐมเจ้าอาวาสแห่งวัดมังกรกมลาวาสหรือวัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพมหานคร และเป็นผู้สร้างวัดเล่งฮกยี่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ในครั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี เพื่อเปิดเส้นทางรถไฟสายตะวันออก กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ทรงเสด็จฯ เยี่ยมวัดเล่งฮกยี่ พระองค์ทรงพระราชทานเงินจำนวน 1 ชั่ง หรือ 80 บาท เพื่อบำรุงวัดพร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อ “วัดจีนประชาสโมสร”อันมีความหมายว่า วัดแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมของคนจีน โดยแผ่นป้ายชื่อพระราชทานได้รับการเก็บรักษาอย่างดีภายในวัด
คำว่า “ฮก”ในภาษาจีนเป็นคำมงคล หมายถึงโชคลาภ วาสนา ความมั่งมีศรีสุข คำว่า “เล่ง”หรือ “เล้ง”ภาษาจีนหมายถึงมังกร รวมความหมายของคำว่า “เล่งฮกยี่”หมายถึง “มังกรวาสนา”หรือ “มังกรแห่งโชค”
ปัจจุบันท่านเย็นจุง เป็นเจ้าอาวาสวัดจีนประชาสโมสร ท่านเย็นจุง ได้ให้ความหมายของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือวัดนี้ทั้งหมด พระพุทธรูปและสิ่งของมีค่าต่างๆได้จัดวางกระจายอยู่ในตำแหน่งต่างๆอย่างเหมาะสม การไม่ทำตู้กระจกและทำป้ายอธิบาย เพราะท่านมีความกังวลว่าจะเป็นการเน้นให้เป็นจุดเด่น เป็นเป้าสายตากับมิจฉาชีพ ที่ผ่านมาในช่วงที่มีผู้คนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ได้เคยมีพระพุทธรูป เครื่องสังคโลก เครื่องลายคราม หายไป ดังนั้นพระพุทธรูปและของล้ำค่ามาก จึงมีความจำเป็นที่จะเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย ยังไม่สามารถนำมาตั้งไว้ได้
การเข้ามาไหว้พระหรือชมงานศิลปะของพุทธศาสนานิกายมหายาน มีหลายจุดน่าสนใจ การนมัสการมีคำแนะนำว่าให้เดินวนทางด้านซ้ายมือของพระประธาน เมื่อก้าวเข้าไปในวัดจะมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อยู่ใกล้กับประตู เป็นเทวดาของมนุษย์โลกทั้ง 4 ทิศ
“ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4″ผู้ครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิประกอบด้วย 1) “ท้าวเวสสุวัณมหาราชหรือท้าวกุเวร” ถือกระบองปกครองยักขเทวดาทางทิศอุดร(เหนือ) 2) “ท้าววิรุฬหกมหาราช” ถือไม้พลองปกครองกุมภัณฑ์เทวดาทางทิศทักษิณ(ใต้) 3) “ท้าวธตรฐมหาราช” ถือกงจักรปกครองคนธรรพ์เทวดาทางทิศบูรพา(ตะวันออก) 4) “ท้าววิรุฬปักข์มหาราช” ถือพระขรรค์ปกครองนาคเทวดาทางทิศปัจฉิม(ตะวันตก) มหาราชทั้ง 4 เป็นผู้รักษามนุษยโลกจึงเรียกว่าท้าวจตุโลกบาล ซึ่งมีสถานที่ปกครองตั้งแต่ตอนกลางของเขาพระสุเมรุลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจรดขอบจักรวาล เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมดเป็นบริวารภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง 4 เมื่อเทียบเวลาของมนุษยภูมิ
พระประธานที่อยู่กลางโถงห้องคือ พระอมิตพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี พระไภษัชคุรุพุทธเจ้า ทั้งสามองค์สร้างขึ้นจากกระดาษนำมาจากเมืองเซียงไฮ้ ประเทศจีน ใกล้กันมีพระพุทธโสธร องค์จำลองหล่อด้วยสัมฤทธิ์ทองแดง เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวแปดริ้ว สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์(กวนอิม)พันหัสถ์พันเนตร อันแสดงถึงการทอดทัศนาเล็งเห็นทั่วโลกธาตุ และพันหัสถ์แสดงถึงอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
เทพหลักเมือง เป็นเทพประจำเมือง มีหน้าที่ดูแลวิญญาณในเมืองหรือชุมชน แปะกง แปะม่า ผู้รักษาคุ้มครองสถานที่ พระเวทธรรมโพธิสัตว์(อุ่ยท้อ) พระพิทักษ์พระศาสนา ผู้บูชาจะพ้นภัยพิบัติ มีสุขสมบูรณ์และมั่งคั่ง เทพไฉ่เซ่งเอี๊ย เทพแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่งและความร่ำรวย ชาวจีนให้ความเคารพนับถือมาหลายพันปี หมอเทวดาฮั่วท้อเซียนซือ บรมครูแห่งการแพทย์และเภสัชกรแผนจีน เอี๊ยอ้วงไต่ตี่,สิ่งล้ง ราชาแห่งโอสถ และเทพแห่งกสิกรรม กราบไหว้เพื่อให้หายจากอาการป่วย ชาวเกษตรกรกราบไหว้ขอให้ผลผลิตงอกงาม
เมื่อเดินวนทางด้านซ้ายจะสะดุดตากับระฆังใบใหญ่ เรียกว่าระฆังจารึกบทสวดมนต์ หล่อจากแต้จิ๋ว น้ำหนักกว่า 1 ตัน ที่รอบระฆังมีอักษรมหาปรัชญาปารมิตราสูตร ถือกันว่าผู้ใดตีระฆังก็เหมือนกับการสวดมนต์
ต่อมาจะเป็นพระตี่จังอ้วงโพธิสัตว์ พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์ พระผู้โปรดสัตว์ที่อยู่ในนรก ใกล้กันเป็นห้องที่เรียกว่าวิหารบูรพาจารย์ ในห้องนี้มีพระพุทธรูปโบราณที่มีสวยงามมาก ห้องนี้สำหรับนมัสการ “พระสำเร็จ”สังขารอดีตท่านเจ้าอาวาสซึ่งมรณภาพในท่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน ถัดจากห้องนี้เป็นวิหารพระกวนอิมโพธิสัตว์ และวิหารหลวงพ่อหินศักดิ์สิทธิ์ ด้านในตกแต่งอย่างงดงาม มีการวางโอ่งโบราณแบบจีนหลายใบเรียงกันมีความสวยงามมาก ห้องนี้เขียนไว้ว่าเชิญนมัสการหลวงพ่อหิน 1000 ปี
ขณะนี้ทางวัดได้กำลังก่อสร้างองค์เจดีย์ขนาดใหญ่ การก่อสร้างเป็นเจดีย์แบบประเทศจีน สร้างมาแล้ว 10 ปี คาดว่าอีกประมาณ 2 ปีจึงสามารถเปิดใช้ประโยชน์ได้ ใช้งบประมาณไปกว่าร้อยล้าน ซึ่งได้มาจากผู้มีจิตศรัทธา เจดีย์แห่งนี้คนที่ผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ท่านเย็นจุงบอกว่า เมื่อเจดีย์เสร็จสมบูรณ์ จะมีห้องพระไตรปิฎก ห้องสมุดสำหรับค้นคว้าหาข้อมูล มีคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่างเช่น บางคนอยากรู้เรื่องพุทธศาสนาแบบมหายานหรือแบบหินยาน วัชรยาน ก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ และอาจจะนำสิ่งของโบราณของวัดบางส่วนไปจัดแสดงไว้ที่นั่นด้วย
ท่านเย็นจุงกล่าวถึงการเข้าวัดของคนสมัยนี้ว่ามีความแตกต่างจากสมัยก่อน สมัยพ่อแม่เขาจะมานอนที่วัดกัน 5-10 วัน เนื่องจากการเดินทางลำบาก มีการมาฝึกปฏิบัติช่วงกินเจ มาสวดมนต์ คนที่มาเข้าวัดเขามีความผูกพันกับวัดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ผูกพันกันตั้งแต่เมืองจีน สมัยนี้คนสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ ในรอบปีหนึ่งวัดจัดงานใหญ่ครั้งเดียวคือวันตรุษจีน
ขอขอบคุณ http://www.sac.or.th/