วัดพระธาตุหริภุญชัย สักการะพระธาตุประจำปีไก่ แห่งเมืองลำพูน

 

hariphunchai-temple05

ในแต่ละปีซึ่งหมุนเวียนไปตามปีนักษัตร เรามักจะได้ยินคำเชิญชวนให้ไปไหว้พระธาตุประจำปีนักษัตรนั้นๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล ยิ่งถ้าหากเป็นบุคคลที่เกิดในปีนักษัตรนั้นก็ยิ่งสมควรหาโอกาสไปสักการะให้ ได้ซักครั้ง ซึ่งความเชื่อเรื่องการไหว้พระธาตุประจำปีเกิดนั้น เป็นคติความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาที่สืบทอดกันมายาวนาน ด้วยมีความเชื่อแต่โบราณว่า ก่อนที่วิญญาณจะมาเกิดในครรภ์มารดานั้น ดวงวิญญาณจะมาพักอยู่ที่เจดีย์ โดยมี “ตัวเปิ้ง” หรือสัตว์ประจำนักษัตรพามาพักไว้ เมื่อได้เวลาดวงวิญญาณจึงเคลื่อนจากพระเจดีย์ไปสถิตอยู่บนกระหม่อมของบิดา แล้วจึงเคลื่อนสู่ครรภ์มารดา และเมื่อเราสิ้นอายุขัยลง ดวงวิญญาณจะกลับไปสถิตอยู่ที่พระธาตุเจดีย์ตามปีเกิดนั้นๆ ตามเดิม ดังนั้นในช่วงชีวิตหนึ่งเราควรหาโอกาสไปกราบไหว้พระธาตุประจำปีเกิดให้ได้ ซักครั้งในชีวิต ซึ่งครั้งนี้เราจะพาผู้ที่มีปีนักษัตรตรงกับ “ปีระกา” ไปเสริมสิริมงคลกันที่ “วัดพระธาตุหริภุญชัย วรมหาวิหาร” กัน

พระธาตุหริภุญชัย เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองลำพูนมานานนับพันปี จัดเป็นพระธาตุที่เก่าแก่ที่สุดของภาคเหนือ เพราะสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอาทิตยราช หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งช่วงนั้นนครหริภุญชัยมีความรุ่งเรืองทางศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเป็นอย่าง มาก องค์พระธาตุมีลักษณะศิลปะแบบล้านนา ปิดด้วยทองจังโกสีเหลืองอร่ามทั้งองค์ ภายในประดิษฐานพระเกศบรมธาตุซึ่งบรรจุอยู่ในโกศทองคำอีกชั้นหนึ่ง บริเวณโดยรอบองค์พระธาตุจะมีซุ้มกุมภัณฑ์และฉัตรประจำทั้งสี่มุม นอกจากพระธาตุ์เจดีย์หริภุญชัยแล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น บริเวณด้านหน้าวัดซึ่งเป็น “ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์” ประตูทางเข้าสู่เขตพุทธาวาสซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ยอดหลังคาสร้างเป็นทรงปราสาทซ้อนกันหลายชั้น และมีปูนปั้นรูปสิงห์อยู่ด้านหน้า ซุ้มประตูนี้จึงได้ชื่อว่า ซุ้มประตูโขงท่าสิงห์นั่นเอง ถัดจากซุ้มประตูเข้ามาเราจะเห็น “พระวิหารหลวง” ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถึงสามองค์ด้วยกัน ภายในตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรงดงาม ส่วนทางด้านทิศใต้ของพระวิหารหลวง เป็นที่ตั้งของ “หอธรรม” หรือ “หอพระไตรปิฏก” สิ่งปลูกสร้างตามแบบศิลปะล้านนาประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองและกระจกอันสวย งาม ซึ่งตามหลักฐานศิลาจารึกคาดว่าสร้างขึ้นราว พ.ศ. 2053 โดยพระเมืองแก้วกษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ ถ้าสังเกตุให้ดี เราจะเห็นว่าลักษณะสถาปัตยกรรมของหอธรรมนี้มีความคล้ายคลึงกับหอไตรที่วัด พระสิงห์ฯ อยู่ไม่น้อยเลย

-นักท่องเที่ยวควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงไม่ควรสวมกระโปรง และกางเกงขาสั้น ไม่ควรสวมเสื้อแขนกุด เกาะอก สายเดี่ยวเข้าวัด

-การเดินเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ ต้องเดินเวียนขวา (ทักษิณาวัตร) ให้หันหน้าเข้าหาองค์พระธาตุแล้วเดินเวียนไปทางขวาให้ครบ 3 รอบ

-พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญชัย เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-15.00 น.

บริเวณไม่ห่างจากหอธรรมนัก เราจะเห็นว่ามีสิ่งปลูกสร้างรูปร่างคล้ายภูเขาขนาดเล็กนั่นก็คือ “เขาพระสุเมรุ” ถึงแม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อสมัยใด แต่จากรูปถ่ายทางประวัติศาสตร์ก็เห็นว่าเขาพระสุเมรุนี้ตั้งอยู่ในวัดมา ตั้งแต่โบราณแล้ว จากส่วนด้านหน้านี้เราเดินเลยไปทางด้านหลังของวัด บริเวณวิหารด้านหลังองค์พระธาตุเจดีย์จะเป็น “พิพิธภัณฑ์ 50 ปี วัดพระธาตุหริภุญชัย” ซึ่งใช้เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณต่างๆ มากมาย รวมถึงวิหารด้านข้างจะเป็น “พระวิหารพระพุทธบาทสี่รอย” ที่หลายๆ คนมักจะแวะเวียนมาสักการะหลังจากที่ได้เดินเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุเจดีย์เรียบร้อยแล้ว

นอกจากโบราณสถานที่เราได้ยกตัวอย่างมานั้น ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยยังมีโบราณสถานอื่นๆ อีกมากมาย เช่น หอกังสดาล อันสวยงามด้วยศิลปะหริภุญไชย วิหารพระนอน สุวรรณเจดีย์ เป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมทรงปราสาท ซึ่งโบราณสถานและโบราณวัตถุแต่ละชิ้นล้วนแต่มีเรื่องราวความเป็นมา และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งนัก ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในพุทธศาสนิกชนก็น่าจะลองหาโอกาสแวะเวียนมาเที่ยวชม ความงดงามทางสถาปัตยกรรมแบบล้านนา รวมถึงมากราบไหว้สักการะขอพรจากองค์พระธาตุหริภุญชัยสักครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดในปีระกาก็ตาม

ขอขอบคุณ http://www.thaiticketmajor.com

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .