คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เกิดที่กรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในครอบครัวชาวจีน บิดาของท่าน ทำกิจการร้านขายยา คุณเล็กจบการศึกษาในสาขาวิชารัฐศาสตร์การปกครอง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ด้วยวัย ๒๒ ปี เมื่อกลับมาเมืองไทย ได้รับช่วงกิจการร้านขายยาสืบต่อจากบิดา ท่านได้มีโอกาสติดต่องานกับ คุณประไพ วิริยะพานิช บุตรสาวขุน วิจารณ์พานิช (ชุ่ม) เมื่อคบหาดูใจกันได้สักระยะเวลาหนึ่ง ทั้งคู่จึง ตัดสินใจสร้าง ครอบครัวร่วมกัน
คุณเล็กก็ได้ก้าวเข้าร่วมก่อตั้ง ธนาคารมณฑล ซึ่งภายหลังได้รวมกิจการกับธนาคารเกษตร และ เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารกรุงไทย ท่านทำหน้าที่เป็น กอมประโดร์ ดูแลด้านสินเชื่อ ต่อมาท่านได้ซื้อกิจการของ บริษัทธนบุรีพานิช และก่อตั้งธนบุรีประกอบรถยนต์ขึ้น
นอกจากคุณเล็กในเรื่องของ ศิลปะ ศาสนา ปรัชญา และประวัติศาสตร์ เป็นอย่างยิ่งด้วยท่านมีความ ห่วงใยว่า ศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของชาติกำลังเสื่อมโทรมลงเพราะขาดการสืบสาน โบราณสถานขาดผู้ อนุรักษ์ และโบราณวัตถุล้ำค่าขาดผู้ที่เห็นคุณค่า จนกระทั่งตกไปอยู่ใน มือของชาวต่างชาติเสียเกือบหมด ดังนั้น เมื่อมีเวลาว่างจากธุรกิจ ท่านจึงให้ความสนใจกับการศึกษาและสะสมโบราณวัตถุอย่างจริงจัง ถึงกับ พาทีมงานออกเดินทางไปดูโบราณสถานตามจังหวัดต่างๆ เพื่อไปให้เห็นถึงแหล่งที่มาของโบราณวัตถุชิ้นนั้น จริงๆ จนสามารถพูดได้ว่า สมบัติทางศิลปวัฒนธรรมที่คุณเล็กรวบรวมสะสมไว้ทั้งหมดได้มาจากความทุ่มเท ทั้งแรงกาย แรงใจ และแรงทรัพย์อย่างสุดกำลัง ทุกชิ้นล้วนเป็นโบราณวัตถุที่มีทางประวัติศาสตร์ ครบครัน ด้วยข้อมูล รายละเอียด เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และมีคุณค่าเทียบได้กับสมบัติของชาติเลยทีเดียว
Read more »
ชีวประวัติผู้สร้าง พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ มหัศจรรย์แห่งเอเชีย สรวงสวรรค์แห่งองค์อินทร์
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ คือ กุศโลบายในการเรียนรู้ศิลปะและศาสนา ที่ส่งเสริมให้คนในสังคม สมัยใหม่ได้รู้จักหลักแห่งศาสนาทั้ง ๔ ด้วยเจตนารมณ์และอุดมคติของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ซึ่งต้องการถ่ายทอดและปลูกฝังด้วยจิตวิญญาณของนักปราชญ์ เพื่อให้มนุษย์ร่วมโลกได้ มีโอกาสเข้าถึงศิลปะและศาสนา อันเป็นรากฐานของอารยธรรม
ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณจึงถือกำเนิดขึ้น โดยมีจุดประสงค์ ๔ ประการ คือ
๑. เพื่อให้คนในปัจจุบันได้เรียนรู้เรื่องราวของอดีต เพราะอดีตเปรียบเสมือนเข็มทิศและหางเสือ ที่มีไว้สำหรับเดินเรืออย่างมีสวัสดิภาพ
๒. เพื่อให้ศิลปะที่เป็นมรดกจากบรรพบุรุษ ซึ่งสั่งสมมานาน และมีคุณค่าไม่เสื่อมคลาย เป็นประจักษ์ พยานแห่งความเจริญด้านจิตใจของสังคมตะวันออกที่มีศาสนาเป็นเครื่องค้ำชูสันติภาพของโลก
๓. เพื่อให้มนุษย์ร่วมโลกรู้จักประเพณีและวัฒนธรรมของไทย และใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาผู้ที่กำลัง หลงทางอยู่ในสังคมที่มีวิทยาศาสตร์เจริญ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้คนนับถือลัทธิวัตถุนิยม ที่มุ่ง แสวงหาแต่ความสุขในทางโลก
๔. เพื่อประกาศเจตนารมณ์ของผู้สร้างว่า พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ คือมรดกของมนุษยชาติที่จะคงอยู่ คู่ฟ้าดินตลอดไป
ขอขอบคุณ http://www.ancientcitygroup.net/
งานประเพณีรับบัว วัดบางพลีใหญ่ (วัดหลวงพ่อโต) จ.สมุทรปราการ สมุทรปราการ
สำหรับประเพณีรับบัว หรือโยนบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวบางพลี ซึ่งอำเภอบางพลีมีประชากรอาศัยอยู่ 3 พวก คือ ไทย รามัญและลาว แต่ละพวกมีหัวหน้าควบคุมดูแลทำมาหากิน ในอาชีพต่าง ๆ ต่อมากลุ่มคนทั้ง 3 พวก ได้ปรึกษากันว่าสมควร จะขยายพื้นที่ทำกินใหม่ให้มากขึ้น เพราะที่ทำไร่ ทำสวนแต่เดิม เต็มไปด้วยพงอ้อพงแขม และพันธุ์ไม้ต่างๆ มีสัตว์อาศัยอยู่หลายชนิด ทางฝั่งใต้ของคลองเต็มไปด้วยป่าแสมเป็นน้ำเค็ม ฝั่งเหนือเป็นบึงใหญ่ แต่ละบึงจะมีน้ำลึก มีดอกบัวหลวงขึ้นอยู่มากมาย คนทั้ง 3 พวก ได้ช่วยกันหักร้างถางพง จนถึงสามแยกบริเวณคลองสลุด, คลองชวดลากข้าว, คลองลาดกระบัง เมื่อถึงบริเวณนี้ต่างตกลงกันว่าควรแยกย้ายกันไปหากินคนละทาง โดยให้พวกลาวไปทางคลองสลุด, คนไทยไปตามทางคลองชวดลากข้าว, พวกรามัญไปทางคลองลาดกระบัง ต่อมาคนรามัญที่ไปทางคลองลาดกระบัง ทำ มาหากินอยู่ 2 – 3 ปี ก็ไม่ได้ผลผลิต มีนกหนูรบกวน การทำไร่ ไถนาพืชผลจึงเสียหาย เลยปรึกษาว่าจะกลับถิ่นฐานเดิมคือ ปากลัด และเริ่มอพยพในตอนเช้ามืดของเดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ ก่อนไปได้เก็บดอกบัวในบริเวณนั้นไปด้วย เพื่อนำไปบูชาพระคาถาพันที่ปากลัด ในปีต่อมา บอกให้คนไทยที่ชอบพอกันว่า เมื่อถึงวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 11 ให้ช่วยเก็บดอกบัวไปบูชาหลวงพ่อโตในวิหาร และให้นำน้ำมนต์หลวงพ่อโต กลับไปเป็นสิริมงคลด้วย ส่วนดอกบัวที่เหลือชาวรามัญ จะนำกลับไปบูชาพระคาถาพัน จึงเป็นที่มาของประเพณีรับบัวมาจนถึงทุกวันนี้ ในปัจจุบันพอถึงเดือน 11 ขึ้น 13 ค่ำ ก่อนออกพรรษา 2 วัน Read more »
เดินชมในองค์พระนอนใหญ่สี่ชั้น แปลกแต่จริงพระพุทธรูปก็มีหัวใจ ปิดทองได้จากด้านใน
วัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 มีจุดเด่นอยู่ที่พระนอนปางไสยาสน์ “พระนอนบางพลี” หรือ “สมเด็จศากยมุนีศรีสุเมธบพิตร” มีขนาดความยาวถึง 52 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวกว่าพระนอนวัดขุนอินทประมูลที่จังหวัดอ่างทอง ส่วนความสูงๆถึง 18 เมตร สามารถเดินเข้าไปด้านในองค์พระได้ มีขนาดสี่ชั้น ชั้นบนประดิษฐานหัวใจขององค์พระนอนให้ผู้ที่มานมัสการได้ปิดทองที่หัวใจพระ
วัดบางพลีใหญ่กลางเดิมชื่อวัดกลาง เพราะตั้งอยู่ระหว่างวัดบางพลีใหญ่ใน กับวัดคงคาราม (วัดยายหนู) ซึ่งเป็นวัดร้างเดิม
เดินในพระพุทธรูปปางไสยาสน์ “พระนอนบางพลี” ปิดทองที่หัวใจพระ
สมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร หรือ พระนอนบางพลี ถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2521 เนื่องจากทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาวัดบางพลีใหญ่กลางด้วยการสร้างถาวรวัตถุ เพื่อเป็นเครื่องจูงใจบุคคลทั่วไปให้หันหน้าเข้าหาวัดและเป็นที่ปฎิบัติธรรม ซึ่งเห็นว่าที่ผ่านมาไม่มีการสร้างพระพุทธไสยาสน์ จึงได้สร้างพระนอนปางไสยาสน์ให้มีขนาดความยาวกว่าพระนอนที่วัดขุนอินทประมูลที่จังหวัดอ่างทองที่มีขนาดความยาว 50 เมตร ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเดินเข้าไปในองค์พระที่มีขนาดความสูง 4 ชั้น ทางเข้าอยู่ที่ด้านหลังองค์พระ โดยมีค่าเข้าองค์พระหยอดตู้คนละ 5 บาท
วัดบางพลีใหญ่ใน ประเพณีรับบัว สมุทรปราการ
ประเพณีรับบัวเป็นประเพณีที่เก่าแก่สืบทอดกันมาแต่โบราณของชาวบางพลี สืบเนื่องจากในอดีตชาวไทยได้มีความสนิทชิดเชื้อกับชาวรามัญ เมื่อครั้งที่ชาวรามัญได้ย้ายออกจากบางพลีไปประกอบอาชีพตามแม่น้ำลำคลองที่หนแห่งอื่นกลับประสบปัญหาจึงต้องการอพยพโยกย้ายกลับสู่ถิ่นเดิมที่พระประแดง เมื่อได้กำหนดจึงชวนชาวไทยที่บางพลีรวบรวมบัวหลวงเก็บไว้ที่วัดหลวงพ่อโต (วัดบางพลีใหญ่ใน) เพื่อทีจะได้แวะเอานำไปเป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษต่อไป
เมื่อชาวรามัญได้มากราบหลวงพ่อโตและนำดอกบัวหลวงไปแล้ว จึงได้มีการนัดแนะกันว่าทุกๆปีจะเดินทางมารับบัวหลวงในวันเดียวกันของทุกๆปีซึ่งก็คือวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ด้วยมิตรภาพไมตรีจิตที่มีให้กันระหว่างชาวไทยและชาวรามัญ จึงเกิดเป็นประเพณีรับบัวขึ้นจนมาเป็น “ประเพณีรับบัว 1 เดียวในโลก” ในราวๆเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนของทุกๆปี ที่วัดบางพลีใหญ่ใน
งานประเพณีรับบัวครั้งหนึ่งจัดหลายวัน วันที่เป็นไฮไลต์คือวันที่ประชาชนสามารถมาสักการะหลวงพ่อโตขบวนแห่เรือหลวงพ่อโตทางน้ำ โดยประชาชนจะโยนดอกบัวลงในเรือขบวนแห่ ชมขบวนแห่ต่างๆ นอกจากนั้นในช่วงงานนักท่องเที่ยวสามารถมาชม งานวัฒนธรรมจำลองวิถีชีวิตชาวมอญ การออกร้านจำหน่ายขนมพื้นเมือง การประกวดต่างๆ ฯ
ขอขอบคุณ http://www.zthailand.com/
วัดบางพลีใหญ่กลาง
วัดบางพลีใหญ่กลาง ตั้งอยู่บริเวณคลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากวัดบางพลีใหญ่เล็กน้อย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียก ว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็นวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ยาว 53 เมตร ภายในพระนอนมีห้องปฏิบัติธรรม ภาพเขียนเรื่องราวของเทวดา นรก และมีห้องหัวใจพระซึ่งประชาชนนิยมมาปิดทองเพื่อเป็นศิริมงคล
พระนอนวัดบางพลีใหญ่กลาง
พระนอนที่มีพุทธลักษณะที่สวยงาม และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประดิษฐาน ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง พระนามเป็นทางการคือ สมเด็จพระศากยมุนีศรีสุเมธบพิตร ขนาดความยาววัดจาก พระเกศถึงปลายพระบาท 26 วา 1 ศอก 9 นิ้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ อยู่บนอาคาร 4 ชั้น ใช้เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานภายในอาคารมีภาพเขียน แสดงเรื่องราวพุทธประวัติอันวิจิตรงดงาม
ขอขอบคุณ http://samutprakan.mots.go.th/
ประเพณีรับบัว ประจำปี 2557 –วัดบางพลี
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขอเชิญชวนเที่ยวงาน “ประเพณีรับบัว ประจำปี 2557” ในวันที่ 8 ตุลาคม 2557 ณ คลองสำโรง หน้าวัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ
สำหรับ “ประเพณีรับบัว” ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ในอดีตที่สืบทอดกันมา สืบทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยในวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี ซึ่งถือแสดงให้เห็นถึงความเอื้ออารี ความมีน้ำใจไมตรีต่อกัน ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากในปัจจุบัน สมควรที่อนุชนจะนำไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพราะความเอื้ออารี มีน้ำใจ จะช่วยให้สังคมไทยมีความสงบสุข ร่มเย็น สมกับที่เป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา
อำเภอบางพลี มีประเพณีอันดีงามสืบทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยในวันขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี ชาวบางพลีช่วยกันเก็บดอกบัวรวบรวมไว้ที่วัดหลวงพ่อโต (วัดบางพลีใหญ่ใน) เพื่อมอบให้กับชาวรามัญ นำไปเป็นดอกไม้เป็นพุทธบูชาในวันออกพรรษา เมื่อใดที่ชาวรามัญมารับดอกบัว โดยใช้เรือเป็นพาหนะ พร้อมใจกันส่งเสียงร้องรำทำเพลงมาตามลำน้ำ เพิ่มความคึกคักสนุกสนานตลอดการเดินทาง เป็นงานบุญงานหนึ่งที่ชาวไทยและชาวมอญได้ยึดมั่นทำเป็นประจำทุกปี สืบทอดมาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น “ประเพณีรับบัว” ประเพณีสำคัญประจำจังหวัดสมุทรปราการมาจนถึงปัจจุบัน ที่มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
สัมผัสหัวใจแห่งพระพุทธ วัดบางพลีใหญ่กลาง จังหวัดสมุทรปราการ
วัดบางพลีใหญ่กลาง ตั้งอยู่คลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ การเดินทาง ถ้ามาจากแยกบางนา ใช้เส้นทางถนนบางนา – ตราด วิ่งไปจนถึงกิโลเมตรที่ 12 จากนั้นกลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าบางพลี – กิ่งแก้ว วิ่งไปตามทางราว ๆ สามกิโลเมตรก็จะถึงตัววัดบางพลีใหญ่กลาง วัดบางพลีใหญ่กลาง คนบางพลีเรียกกันสั้น ๆ ว่า วัดกลาง หรือ วัดพระนอน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราว พ.ศ. 2367 แต่แรกมีชื่อว่า วัดน้อยปทุมคงคา เพราะมีสระบัวหลวงอยู่ตรงกลางวัด ต่อมาเปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นวัด วัดบางพลีใหญ่กลาง
ความวิเศษสุดและความน่าสนใจของวัดบางพลีใหญ่กลางแห่งนี้คือ พระพุทธรูปในมหาวิหารเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ หรือพระนอน องค์ขนาดใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย พระนอนองค์นี้มีชื่อว่า ‘สมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร’ พระพุทธรูปปางนอนองค์นี้เริ่มสร้างเมื่อปี 2521 แต่เดิมอยู่กลางแจ้ง ต่อมาจึงสร้างวิหารคลุม มีขนาดความยาวตั้งแต่ยอดเกศถึงพระบาท 26 วา 1 ศอก 9 นิ้ว หรือประมาณ 53 เมตร กว้าง 7.5 เมตร สูง 18 เมตร ภายในมีทั้งหมด 4 ชั้น แบ่งเป็นชั้นที่ 1 ใช้ในกิจการทั่วไปของทางวัด ชั้น 2 เป็นที่ปฏิบัติกรรมฐานของผู้สนใจ ชั้น 3 เป็นภาพเขียนแสดงเรื่องราวพุทธประวัติ และชั้นที่ 4 เป็นห้องบรรจุหัวใจพระนอน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในโลก โดยในชั้นที่ 4 นี้ จะเปิดให้บุคคลทั่วไปนำดอกไม้ธูปเทียนประจำวันเกิดมาสักการะบูชาและปิดทองคำเปลวที่หัวใจพระนอน
เสร็จจากปิดทองคำเปลวที่หัวใจพระนอน ก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อมาลอดอุโบสถวัดบางพลีใหญ่กลาง เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยยืนตั้งจิตอธิษฐานก่อนลอดโบสถ์และเวียนให้ครบ 3 รอบ ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
Read more »
วัดบางพลีใหญ่กลาง สมุทรปราการ
ตั้งอยู่บริเวณคลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากวัดบางพลีใหญ่เล็กน้อย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็นวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร พระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ยาวประมาณ 53 เมตร ภายในองค์พระแบ่งเป็น 4 ชั้น ชั้น 1 เป็นห้องปฏิบัติธรรม ชั้นที่ 2 ประดิษฐานพระอรหันต์ 500 รูป มีภาพวาดห้องนรกและห้องสวรรค์ ชั้นที่ 3 มีภาพวาดเกี่ยวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกหลายองค์ ชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่บรรจุพระสาริกธาตุซึ่งพระอาจารย์จำนงค์ไปอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ณ วะละ เมืองโคลัมโบเมื่อพ.ศ.2530 ในชั้นนี้มีห้องประดิษฐานหัวใจพระซึ่งประชาชนนิยมมาปิดทองเพื่อเป็นศิริมงคล
การเดินทาง จากแยกบางนา ใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราด มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชลบุรีถึงกิโลเมตรที่ 12 ให้กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนบางพลี-กิ่งแก้ว ประมาณ 3 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายถนนทางเข้าที่ว่าการอำเภอบางพลีไปประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงวัดบางพลีใหญ่กลาง
ขอขอบคุณ http://thai.tourismthailand.org/
เที่ยววัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ
วัดบางพลีใหญ่ใน เดิมชื่อว่า วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเรียกวัดนี้ว่า วัดใหญ่ หรือ วัด หลวงพ่อโต จากโบราณคดีจารึก สืบต่อกันแต่ครั้งโบราณกาลว่า วัดนี้สร้างขึ้นในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช. ในปี พ.ศ.2310 ครั้งหนึ่งที่พระองค์ยกทัพขับไล่ข้าศึกมาทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยามาถึงยังตำบลหนึ่งซึ่งยังไม่ปรากฏนาม พระองค์ได้สั่งให้หยุดพักไพร่พล และได้ทรงทำพิธีกรรมบวงสรวงหาฤกษ์ยามอันเป็นนิมิตตามตำรับพิชัยสงครามการทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงนี้ ตามประเพณีมีการปลูกศาลเพียงตา พร้อมทั้งเครื่องเซ่นสังเวยมี ข้าวตอก ดอกไม้ สัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า ขนมต้มขาว ขนมต้มดำ ขนมต้มแดง และอื่นๆพร้อมทั้งอัญเชิญพระแสงปืน พระแสงดาบ และสรรพวุธ เพื่อเข้าพิธีพลีกรรมบวงสรวงนี้พร้อมทั้งตั้งสัจจะอธิษฐานต่อเทวาอารักษ์และสิ่ง-ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า “ถ้าหากพระองค์ยังมีบุญญธิการปกครองไพร่ฟ้า ประชาชน พร้อมทั้งบ้านเมือง ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ขอให้พระองค์จงมีชัยชนะต่ออริราชศัตรูทั้งมวล”
ครั้งเมื่อพระองค์ได้รับชัยชนะแล้ว ก็ทรงยกทัพกลับสู่กรุงศรีอยุธยา ผ่านมาทางเดิมที่พระองค์ได้ทำพิธี ก็ทรงโปรดให้สร้างพลับพลาชัยขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของพระองค์ และทรงขนานนามว่า”พลับพลาชัยชนะสงคราม”ครั้นต่อมาชาวบ้านในละแวกนั้นได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นที่พลับพลาแห่งนี้ และเรียกวัดนี้ว่า “วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม” ส่วนชื่อของตำบลนั้นได้ชื่อว่า“บางพลี” เพราะเหตุที่สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกระทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงนั่นเอง ดังนั้นประชาชนทั้งหลายจึงเรียกว่าบางพลี และวัดพลับพลาชัยชนะสงครามก็ถูกเรียกตามตำบลนั้นอีกว่า“วัดบางพลี”แต่เนื่องจากต่อมาได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกอยู่ทางด้านนอกเรียกกันว่า วัดบางพลีใหญ่กลางและวัดบางพลีได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นมิ่งขวัญของวัดจึงเรียกว่า “วัดบางพลีใหญ่ใน”หรือ”วัดหลวงพ่อโต”มาจนทุกวันนี้
วัดบางพลีใหญ่ใน
ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากบึงตะโก้ประมาณ 500 เมตร เดิมชื่อวัดพลับพลาไชยชนะสงคราม สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต่อพม่า ต่อมาได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์เป็นพระประธานในโบสถ์ เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไปนาม หลวงพ่อโต วัดนี้จึงมีชื่อว่า วัดหลวงพ่อโต ชาวบางพลีได้อัญเชิญหลวงพ่อโตจำลองลงเรือ ในพิธีโยนบัวหรือรับบัวทุกปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 และใกล้ ๆ กับวัดมีตลาดริมน้ำโบราณให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมและเลือกซื้อมีทั้งอาหาร และของใช้ต่าง ๆ เปิดบริการ ตั้งแต่เวลา 08.00–17.00 น.
การเดินทาง จากแยกบางนาใช้เส้นทางถนนบางนา-ตราด มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชลบุรีถึงกิโลเมตรที่ 12 ให้กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนบางพลี-กิ่งแก้ว ประมาณ 3.5 กิโลเมตร จะพบสี่แยกเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขาภิบาล 6 ทางเข้าเทศบาลตำบลบางพลี 200 เมตร จะถึงวัดบางพลีใหญ่ใน
ขอขอบคุณ http://www.hotsia.com/
วัดบางพลีใหญ่กลาง หรือวัดพระนอน จ.สมุทรปราการ
วัดบางพลีใหญ่กลาง ตั้งอยู่บริเวณคลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากวัดบางพลีใหญ่เล็กน้อย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็นวัดบางพลีใหญ่กลาง
วัดบางพลีใหญ่กลางเป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร พระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ยาวประมาณ 53 เมตร ภายในองค์พระแบ่งเป็น 4 ชั้น ชั้น 1 เป็นห้องปฏิบัติธรรม ชั้นที่ 2 ประดิษฐานพระอรหันต์ 500 รูป มีภาพวาดห้องนรกและห้องสวรรค์ ชั้นที่ 3 มีภาพวาดเกี่ยวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกหลายองค์ ชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่บรรจุพระสาริกธาตุซึ่งพระอาจารย์จำนงค์ไปอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ณ วะละ เมืองโคลัมโบเมื่อ พ.ศ.2530 ในชั้นนี้มีห้องประดิษฐานหัวใจพระซึ่งประชาชนนิยมมาปิดทองเพื่อเป็นศิริมงคล
เดินเข้าวัดมา ทางข้างขวามือจะเป็น ศาลากลางน้ำวัดบางพลีใหญ่กลาง ที่นี่เป็นจุดที่ชาวบ้าน นักท่องเที่ยว นิยมมานั่งพักผ่อน ให้อาหารปลา รวมถึงการปล่อยปลา ณ บริเวณนี้ด้วยนะครับ ผมเองก็มีโอกาสได้ปล่อยปลาทำบุญเหมือนกัน
ขอขอบคุณ http://realitythailand.com/
วัดบางพลีใหญ่ใน
วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากบึงตะโก้ประมาณ 500 เมตร เดิมชื่อวัดพลับพลาไชยชนะสงคราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์เป็นพระประธานในโบสถ์ เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไปนาม หลวงพ่อโต วัดนี้จึงมีอีกชื่อว่า วัดหลวงพ่อโต ชาวบางพลีได้อัญเชิญหลวงพ่อโตจำลองลงเรือในพิธีโยนบัวหรือรับบัวทุกปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11
ติดกับวัดยังมีตลาดริมน้ำโบราณที่มีอายุยาวนานกว่า 140 ปี ที่ยังคงสภาพเดิมให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมและเลือกซื้อซึ่งมีทั้งอาหารและของใช้ต่างๆ
เปิดบริการตั้งแต่เวลา 08.00–17.00น
การเดินทาง จากแยกบางนาเข้าทางถนน บางนา-ตราด ประมาณกิโลเมตรที่ 12.5 ข้ามสะพานคลองชวดลากข้าวเลี้ยวกลับรถเข้าถนน กิ่งแก้ว-บางพลีใหญ่ใน ประมาณ 3.5 กิโลเมตร จะพบสี่แยกเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 1 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขาภิบาล 6 ทางเข้าเทศบาลตำบลบางพลีประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงวัดบางพลีใหญ่ใน
อีกทางหนึ่งเข้าทางถนนเทพารักษ์ กิโลเมตรที่ 13 ก็ถึงวัด ส่วนทางเรือสามารถมาได้ตามคลองสำโรง
วัดบางพลี
วัดบางพลีใหญ่กลาง ตั้งอยู่บริเวณคลองสำโรงฝั่งเหนือ ตำบลบางพลีใหญ่ ห่างจากวัดบางพลีใหญ่เล็กน้อย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2367 ชาวบ้านละแวกบางพลี เรียกว่า วัดกลาง คงเป็นเพราะตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างวัดบางพลีใหญ่ในกับวัดคงคาราม (วัดยายหนู) ซึ่งเป็นวัดร้างไปแล้ว เดิมที่ตั้งวัดเป็นที่ดินของนายช้างหมื่นราษฎร์ โดยนาย น้อย หมื่นราษฎร์ พี่ชายเป็นผู้สร้างขึ้นและได้ขนานนามวัดว่า “วัดน้อยปทุมคงคา”เพราะได้ขุดสระปลูกบัวหลวงไว้ด้วย ต่อมาเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า “วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม” และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น “วัดบางพลีใหญ่กลาง” โดยมิปรากฏแน่ชัดว่าเปลี่ยนใน สมัยเจ้าอาวาสรูปใด
วัดบางพลีใหญ่กลางได้รับพระราชทาน วิสุคามสีมาเมื่อ วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 เขตวิสุคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ในด้านการศึกษาทางวัดจัดให้มีการเรียนพระปริยัติธรรมตลอดมา นอกจากนี้ยังได้สนับสนุนการศึกษาของชาติโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ ให้ที่วัดสร้างโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ด้วยเจ้าอาวาสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555) ทั้งหมด 8 รูป
วัดบางพลีใหญ่กลางเป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระศากยมุณีศรีสุเมธบพิตร พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 53 เมตร แล้วสร้างพระวิหารคลุมทีหลัง ความสูงของวิหารเท่าอาคาร 4 ชั้น ภายในองค์พระใหญ่พอที่จะแบ่งให้มีห้องปฏิบัติธรรม เสาและผนัง มีภาพเขียนเรื่องราวของเทวดา นรก สวรรค์ คติธรรม จำนวนมากมาย กว่า 100 รูป และมีห้องหัวใจพระซึ่งประชาชนนิยมมาปิดทองเพื่อเป็นศิริมงคล
วัดบางพลีใหญ่ใน ” ไปที่เดียวเหมือนกับได้ไป 2 ที่ “
สวัสดีทุกๆท่านครับ วันนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพ มาแนะนำครับ ซึ่งสถานที่นี้ก็เหมาะกับคนทุกวัยครับ วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์เป็นพระประธานในโบสถ์ เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไปนาม หลวงพ่อโต วัดนี้จึงมีอีกชื่อว่า วัดหลวงพ่อโต และยังมีรูปหล่อจำลองหลวงพ่อวัดดังให้สักการะกัน เช่น หลวงพ่อโสธร วัดบ้านแหลม
จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือห้องน้ำที่สวยงามสะอาดและทันสมัยไว้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นมุมถ่ายรูปของใครหลายๆคนเลยทีเดียวครับ
และใครที่อยากล่องเรือไหว้พระ 9 วัด ก็จะมีไว้บริการ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณเดือนล่ะ 1 ครั้ง แนะนำให้โทรมาสอบถามตารางล่วงหน้า ราคาคนละ 250 บาท โดยในราคานี้จะรวมค่าน้ำและอาหารด้วย การล่องเรือจะใช้เวลาทั้งวัน ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์อื่นๆ ใครที่สนใจจะล่องเรือไหว้พระก็สามารถเหมาเรือได้ โดยโทรมาจองล่วงหน้า ราคาประมาณ 3500-3800 บาท หรือ ไหว้พระ 3 วัด ราคาประมาณ 1200 บาท ใช้เวลาประมาณ 2-2.30 ชม. รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อที่คุณสมพงษ์ โทร 087 557 9526
จากวัดบางพลีใหญ่ในเดินไปหน่อย จะมีตลาดโบราณบางพลี 140 ปี ซึ่งอยู่ริมคลองสำโรง เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. แต่เสาร์-อาทิตย์ จะมีของขายมากกว่าวันธรรมดา
ภายในตลาดมีสินค้าขายมากมาย เช่น ร้านขนมหวาน ขนมไทย ขนมโบราณ ก๋วยเตี๋ยวเรือ อาหารต่างๆอีกมากมาย ร้านสังฆภัณฑ์ หรือแม้แต่ของใช้
ขอขอบคุณ http://www.tatcontactcenter.com/