วัดหราหมณี หลวงพ่อปากแดง และ อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37แห่งนครนายก

เมื่อแวะมาถึงนครนายกเพื่อเที่ยวน้ำตกแล้ว สถานที่มงคลที่พลาดไม่ได้ทีจะต้องแวะไปสักการะเป็นสิริมงคลนั่นก็คือ วัดพรามณี ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน จ.นครนายก ตั้งอยู่ที่ถนนสาริกา-นางรอง หลักกิโลเมตรที่ 4 ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก วัดแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2446 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว

วัดพราหมณี ยังคงมีเรื่องราวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ เมื่อครั้งเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกบริเวณที่ตั้งของวัดพราหมณีเป็นจุดพักทัพของกองพัน ทหารที่ 37 ซึ่งมีจุดหมายจะไปรวมพลกันที่บริเวณเขาชะโงก (ปัจจุบัน คือ สถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก)

อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37

จึงมีทหารญี่ปุ่นล้มตายอยู่ในเขต จ.นครนายก หลายแห่งด้วยกัน ปรากฏว่ามีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณี ดังนั้น สมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นที่ 37 จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ณ วัดพราหมณี

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม สร้างเป็นศาลาจตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร ด้านหน้าพระพุทธรูปเป็นแท่นหินจารึกอักษรญี่ปุ่น ด้านซ้ายพระพุทธรูปเป็นแท่นหินอ่อน โดยมีการจารึกข้อความไว้อาลัย สดุดีความกล้าหาญ และระลึกถึงไว้ที่ฐานพระพุทธรูป ป้ายจารึกด้านซ้ายของพระพุทธรูป และแท่นหินบูชาหน้าพระพุทธรูป ดังข้อความโดย สรุปของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดังนี้

“อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จัดสร้างโดยสมาคมทหารสหายสงคราม กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 เมื่อปี 2532 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดวงวิญญาณของบรรดา ทหารซึ่งสังกัด กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จำนวน 7,929 นาย ที่สูญเสียชีวิต ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี 2482-2488”

พระครูโสภณพรหมคุณ หรือ “หลวงพ่อตึ๋ง” เจ้าอาวาสวัดพราหมณี เล่าว่า ตำนานเชื่อกันหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่าง ๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณี ปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระอุโบสถ

หลวงพ่อปากแดง วัดพราหมณี จ.นครนายก พระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง จีวรเป็นลายดอกพิกุล พระโอษฐ์แย้มทาสีแดงเห็นชัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หลวงพ่อปากแดง”เป็นพระประธานศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นที่เคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง

สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน

ซึ่งต่อมา “หลวงพ่อปากแดง” ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จังหวัดนครนายก จนทุกวันนี้ โดยความเชื่อของประชาชนนั้น ประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวน้ำตกในจังหวัดนครนายาก จะต้องแวะกราบสักการะบูชา พร้อมกับบนบานด้วยกล้วยน้ำว้า 9 หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9 พวง และน้ำแดง 1 ขวด กันอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานให้สมความปรารถนาตัวเอง

นอกจากนี้ ภายในวัดยังมี วิหารเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งจัดสร้างโดยกลุ่มนักธุรกิจจากไต้หวัน, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, อุทยานการศึกษา มีรูปปั้นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อยู่รอบบริเวณวัด เช่น ช้างพันธุ์แอฟริกา, กวาง, ควายป่า ฯลฯ สวนพักจิตร (สวนต้นไทร) ใช้เป็นที่พักผ่อนทำสมาธิหรือทำกิจกรรมยามว่าง

อากาศที่ร้อนอ้าว ทำให้แทบท้อที่จะเดินผ่านร้านรวงทั้งหลายไปเข้ากราบไหว้ “หลวงพ่อปากแดง” ของวัดพราหมณี ที่แทบจะเรียกได้ว่าถูกห้อมล้อมไว้ด้วยบรรดาร้านค้าต่าง ๆ หรือจะเรียกว่า อยู่กลางตลาดเลยก็ว่าได้ จะว่าไปปากทางเข้าวัดก็มีตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “โรงเกลือ นครนายก” แต่ด้วยความที่บ่ายจัดและเราไม่อยากกลับเข้ากรุงเทพในเวลาค่ำนักเลยต้องบอกผ่านโรงเกลือนครนายกไป
ฝ่าเปลวแดด ฝ่าตลาดเข้าไปกราบหลวงพ่อปากแดงที่วันนี้ผู้คนมากพอควร แม่ค้าแม่ขาย มัคทายกวัดเรียกให้ซื้อเครือ่งไหว้บูชากันดังอยู่ ท้้งดอกไม้ธูปเทียน กล้วย น้ำแดง แต่ก่อนจะถึงหลวงพ่อปากแดงเราต้องผ่าน วิหารหลวงพ่อโพธิ และ อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 แถมยังต้องผ่านตลาดอีกรอบ จึงจะได้เข้าไปกราบหลวงพ่อปากแดง

กว่าจะเสร็จสิ้นพิธีก็ปาไปเกือบชั่วโมงอยู่ เพราะต้องผ่านผู้คนที่มีทั้งมาขอพร ขอโชคลาภซึ่งหลวงพ่อมีชื่อเสียงทางให้โชคให้ลาภเสียมากมาย ดังนั้นไม่แปลกใจที่จะมีเครื่องของบูชามากมายวางไว้ให้เราได้จับจ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น หลังจากกราบหลวงพ่อแล้วเราก็เพลิดเพลินกับการดูข้าวของที่ขาย บางคนก็ว่าแพง บางคนก็ว่าถูก นานาจิตตังกันไป ก็เหมือนกับโชคลาภที่หลวงพ่อให้ สุดแล้วแต่ใครจะจินตนาการ

ขอขอบคุณ http://www.oknation.net/

Both comments and pings are currently closed.

Comments are closed.

. . . . . . .
. . . . . . .